แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องฐานเจ้าพนักงานยักยอกโดยอ้างบทกฎหมายขอให้ลงโทษมา 2มาตรา คือมาตรา 131 กับ 319 ข้อ 3 นั้น ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ที่จะเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ มีความสำคัญอยู่ที่คำบรรยายฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยโลหกิจจังหวัดฝ่ายการเงิน มีหน้าที่รับเงินมัดจำค่าภาคหลวงแร่ และเงินประเภทต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีผู้มาชำระและนำส่งคลัง หากส่งไม่ ทันในวันนั้นก็ต้องนำเงินมอบโลหกิจจังหวัดหรือผู้แทน เมื่อระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึง วันที่ 8 เมษายน 2491 เวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยได้มีเจตนาทุจริตคิดยักยอกเงินมัดจำค่าภาคหลวงแร่ 1642 บาทเศษ ซึ่งโลหกิจจังหวัดได้มอบให้จำเลยนำส่งคลังไปเป็นประโยชน์ส่วนตนเสีย และเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2491เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินมัดจำค่าภาคหลวงแร่ 2 รายเป็นเงิน2,021 บาทเศษ แล้ววันนั้นจำเลยได้ยักยอกเงินรายนี้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนเสีย ขอให้ลงโทษตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131, 319 ข้อ 3
จำเลยให้การปฏิเสธ และตัดฟ้องว่า โจทก์ฟ้องเคลือบคลุมมาตรา 131 และ 319 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษเป็นความผิดคนละฐาน
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่า ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมที่โจทก์อ้างบทขอให้ลงโทษ 2 มาตรานั้น เป็นเรื่องยักยอกทั้ง 2 มาตรา เพื่อให้ศาลใช้ดุลยพินิจวางโทษตามมาตราใด และฟังว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานยักยอกเงินราย 2,121 บาทเศษไปจริง ให้จำคุก 3 ปีตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 แก้ไข พ.ศ. 2484 มาตรา 3 กับให้ใช้เงินส่วนข้อหาว่ายักยอกเงินราย 1,642 บาทเศษให้ยกเสีย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นคดีต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ที่ฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุมโดยอ้างกฎหมาย 2 มาตรานั้น เห็นว่าหาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ จะเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ มีความสำคัญอยู่ที่คำบรรยายฟ้อง พิจารณาคำฟ้องแล้วเห็นว่าได้บรรยายไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเงินรายนี้และได้กระทำการยักยอกเงิน จึงไม่เคลือบคลุม และเห็นพ้องด้วยศาลล่างว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน พิพากษายืน