คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1422/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์มาทางขวาผิดทาง โจทก์ขับรถยนต์ตามมาโดยเร็วมาก เปิดแตรขอทาง จำเลยจึงขับรถเฉียงไปทางซ้ายแต่โจทก์ไม่รอ ขับรถแซงขึ้นทางซ้ายผิดกฎจราจร จึงชนกับรถจำเลย แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายผิด โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการกระทำผิดของตน

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์ยี่ห้องเชฟโรเลต เครื่องหมาย ล.บ. 0400 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อฟาร์โก เครื่องหมาย ล.บ. 0295 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 1 เป็นปกติ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2493 รถของโจทก์โดยมีนายวิเชียร เลี้ยงประยูรเป็นผู้ขับ ได้ขับวิ่งไปตามเส้นทางถนนนารายณ์มหาราช จากหลังศาลพระกาฬไปสระแก้วเนื่องจากผู้มีชื่อว่าจ้างไป ถึงหลักกิโลเมตรที่ 156 กับ 157 เวลาประมาณ 5 นาฬิกาเศษ รถของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับได้แล่นตัดหน้ารถโจทก์ในระยะใกล้ชิด และไม่เปิดไฟ อันเป็นผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 เป็นเหตุให้รถของโจทก์กับของจำเลยชนกันขึ้น ทำให้รถโจทก์เสียหายต้องเสียเงินค่าซ่อมแซมทั้งสิ้น 7,000 บาท กับรถโจทก์ต้องหยุดซ่อม 7 วัน ขาดประโยชน์ไป เป็นเงิน 2,100 บาท จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายกับผลประโยชน์อันควรมีควรได้เป็นเงิน 5,100 บาทกับดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การและฟ้องแย้งกับร้องขอให้เรียกนายวิเชียรเข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57รวมใจความว่า จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อฟาร์โกเครื่องหมายล.บ. 0295 จริง แต่ปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 และว่านายวิเชียร เลี้ยงประยูรลูกจ้างของโจทก์ ได้ขับรถของโจทก์ไปโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจร พ.ศ. 2477 หลายประการและด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ นายวิเชียรไม่ได้ให้สัญญาณขอทาง และกลับขับรถแซงไปเบื้องซ้ายและด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งไม่มีใบอนุญาตและขับรถขณะมืนเมา รถของโจทก์จึงชนรถของจำเลยเสียหาย คิดค่าซ่อมแซมให้ดีตามสภาพเดิมเป็นเงินประมาณ 30,000 บาท กับขาดประโยชน์ที่ควรได้อีก 3,000 บาท ซึ่งโจทก์และนายวิเชียรต้องร่วมกันรับผิด ขอให้ยกฟ้องโจทก์ กับให้โจทก์และนายวิเชียรร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เป็นเงิน 33,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

ศาลจังหวัดลพบุรีกะหน้าที่นำสืบว่า (1) ให้จำเลยนำสืบก่อนถึงข้ออ้างต่าง ๆ ที่จำเลยไม่ควรต้องรับผิดค่าเสียหายของโจทก์และนำสืบค่าเสียหายของจำเลยที่ต้องเสียหาย กับข้ออ้างต่าง ๆที่ว่าโจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยในฐานะนายจ้างลูกจ้าง (2) ให้โจทก์นำสืบค้านและนำสืบข้ออ้างต่าง ๆ ที่โจทก์ไม่ควรต้องรับผิดในค่าเสียหายของจำเลยกับนำสืบค่าเสียหายของโจทก์ที่ต้องเสียหายและข้ออ้างต่าง ๆ ที่ว่าจำเลยต้องรับผิดในฐานะนายจ้างลูกจ้าง (3) ให้จำเลยนำสืบค้านในเรื่องค่าเสียหายของโจทก์และฐานะนายจ้างลูกจ้างของจำเลย และได้กำหนดสืบพยานจำเลยตามประเด็นที่กะในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2493 เวลา 13 นาฬิกา ครั้นถึงวันที่8 พฤศจิกายน 2493 เวลา 10 นาฬิกา ทนายจำเลยยื่นคำร้องว่าป่วยขอเลื่อน โจทก์คัดค้านว่าไม่ป่วย และขอพิสูจน์ ศาลสั่งให้พิสูจน์เมื่อพิสูจน์แล้วศาลสั่งว่าทนายจำเลยเพียงอิดโรยอ่อนเพลียไม่เป็นเหตุให้เลื่อน จึงให้สืบพยานจำเลยเวลา 13.00 นาฬิกาตามที่นัดไว้และในวันเดียวกันนี้จำเลยแถลงว่าไม่ติดใจเอาพยานเข้าสืบโจทก์แถลงขอนำสืบต่อไปตามประเด็นที่ตกหน้าที่โจทก์ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยนำสืบในประเด็นข้อสุดท้ายต่อไป เสร็จแล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ศาลได้กำหนดหน้าที่ให้จำเลยนำสืบก่อนคือข้ออ้างต่าง ๆ ที่จำเลยไม่ควรรับผิด แต่จำเลยไม่สืบพยานตามที่ศาลกำหนดให้จำเลยต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ข้อที่จำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ จากโจทก์ก็ฟังไม่ได้เช่นเดียวกันจำเลยต้องเป็นฝ่ายรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนค่าเสียหายและค่าทดแทนที่โจทก์ควรมีควรได้นั้น เห็นว่าค่าซ่อมแซมรถโจทก์ให้คืนสภาพเดิมคงเป็นเงิน 1,500 บาท กับค่าทดแทนที่โจทก์ต้องเสียเวลาเป็นเงิน 750 บาท พิพากษาให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันใช้เงินค่าเสียหายเป็นเงิน 2,250 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมเว้นแต่ค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าที่โจทก์ชนะคดี กับค่าทนาย 200 บาทแทนโจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีแล้วเห็นว่า ข้ออุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น คงพิพากษาคดียืน ให้จำเลยเสียค่าทนายชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 100 บาท

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาตรวจปรึกษาสำนวนนี้แล้ว ทางพิจารณานายวิเชียรโจทก์กับนายศิริพยานโจทก์เบิกความประกอบกันว่า วันโจทก์หาเวลา 5 นาฬิกาเศษ นายตี๋หรือสุเทพจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บันทุกยี่ห้อฟาร์โกของจำเลยที่ 1 รับคนโดยสารเพื่อไปหาหน่อไม้ยังเขาน้ำจั้นแล่นไปตามถนนนารายณ์มหาราชซึ่งกว้างประมาณ 10 เมตร แต่ได้หยุดรับคนโดยสารรวมทั้งนายศิริพยานที่หน้าโรงเรียนอนุบาลนายวิเชียรโจทก์ขับรถยนต์บันทุกยี่ห้อเชฟโรเล็ตของนายใช้โจทก์บันทุกผู้ไปเที่ยวน้ำตกเขาอีโต้ จังหวัดปราจีนบุรี แล่นตามมาข้างหลัง เนื่องจากรถจำเลยขวางถนนอยู่ทางฝั่งขวาของถนนและไม่เปิดไฟ เมื่อห่างกันประมาณ 40 เมตร นายวิเชียรโจทก์เปิดแตรขอทางแล้วหลีกรถไปข้างซ้ายรถจำเลยก็แล่นมาชนรถโจทก์เสียหายเพราะจะย้อนรถกลับไปรับคนทางศาลพระกาฬต้นทางที่มาเมื่อชนกันแล้วนายวิเชียรโจทก์ขับรถเลยไปค้างอยู่ที่เขื่อนดังรูปถ่ายหมาย ล.1 รถจำเลยขับเลยไปข้างหน้าแล้วถอยกลับมาหยุดอยู่ตรงที่ชนกัน ฝ่ายจำเลยไม่ได้สืบพยานหักล้างคำพยานโจทก์ในข้อนี้เนื่องจากศาลชั้นต้นกะประเด็นให้จำเลยสืบก่อน ถึงวันนัดทนายจำเลยขอเลื่อนอ้างว่าป่วย โจทก์ขอพิสูจน์ ผลที่สุดทนายจำเลยขอถอนตนจากเป็นทนาย จำเลยได้แถลงต่อศาลว่าไม่ติดใจเอาพยานเข้าสืบฉะนั้นเมื่อสืบพยานโจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่ยอมให้จำเลยสืบหักล้างในข้อนี้

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำนายวิเชียรโจทก์กับคำนายศิริพยานประกอบกับสำนวนชั้นสอบสวนที่ฝ่ายจำเลยอ้างมายันแล้วเห็นว่าคำนายวิเชียรโจทก์กับคำนายศิริพยานไม่ประกอบชอบด้วยเหตุผลกล่าวคือรถยนต์ทั้ง 2 ฝ่ายเป็นรถ 6 สูบ ดูตามรูปแสดงว่าเป็นรถใหญ่ต่างฝ่ายน่าจะยาวสุดหัวสุดท้ายไม่ต่ำกว่า 4 เมตรด้วยกันทั้ง 2 คัน ตามธรรมดารถยนต์ที่แล่นในเวลาค่ำคืนนั้น โดยปกติต้องมีโคมไฟ และรถยนต์โดยสารที่หยุดรับหรือส่งคนโดยสารเพียงเล็กน้อยไม่น่าจะดับเครื่องยนต์ดังนายศิริให้การไว้ในชั้นสอบสวน และน่าจะหยุดรถตามความยาวของถนน ไม่ใช่หยุดขวางถนน นอกจากจะมีความจำเป็น ปรากฏตามคำนายศิริชั้นสอบสวนว่าขณะที่รถยนต์จะชนกันนั้น รถจำเลยแล่นเฉียงไปทางทิศเหนือ จึงเป็นเหตุให้สันนิษฐานได้โดยไม่ผิดพลาดว่ารถยนต์จำเลยหยุดรับคนโดยสารริมถนนทางขวามือคือทางฝั่งโรงเรียนอนุบาล เพราะคนโดยสารมาคอยขึ้นอยู่ฝั่งนั้นครั้นรับคนโดยสารเสร็จและจะเคลื่อนรถ พอดีรถยนต์โจทก์ซึ่งแล่นตามมาข้างหลังได้เปิดแตรขอทาง จำเลยที่ 2 จึงขับรถเฉียงไปทางเหนือ คือไปหาฝั่งซ้ายของถนนอันเป็นทางที่ถูกต้อง แต่กลับเป็นการปิดทางรถของโจทก์ ฝ่ายรถโจทก์เมื่อเปิดแตรขอทางแล้วแทนที่จะรอให้จำเลยให้ทาง กลับขับรถแซงไปทางซ้าย เป็นการผิดกฎจราจร ตามที่นายวิเชียรโจทก์เบิกความว่าขับรถโจทก์มาในระยะความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อ 1 ชั่วโมงนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าขับมาในระยะความเร็วเช่นนั้นจริง แรกเห็นรถจำเลยขวางถนนอยู่ห่างกันตั้ง 40 เมตร นายวิเชียรโจทก์ก็น่าจะหยุดรถทัน การที่รถโจทก์แล่นตกจากถนนไปชนเขื่อนจึงหยุดดังในรูปถ่ายแสดงอยู่ในตัวว่านายวิเชียรโจทก์ขับรถมาเร็วมากจนหยุดไม่ทัน และที่หยุดได้ก็เพราะตกถนนไปชนเขื่อน ไม่น่าเชื่อว่านายวิเชียรโจทก์ขับต่อไปชนเขื่อนภายหลังจากชนกันแล้ว ดังนายวิเชียรโจทก์เบิกความเป็นพยานเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิด โดยขับรถปิดทาง และนายวิเชียรโจทก์ก็เป็นฝ่ายผิดที่ขับรถเร็วมาก และแซงขึ้นข้างซ้ายเช่นนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกเอาค่าเสียหายในการกระทำผิดของตนไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย

จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าธรรมเนียมและค่าทนายให้เป็นพับกันไปทั้ง 3 ศาล

Share