คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าของที่ดินยอมให้เขาปลูกตึกแถวเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินโดยให้เจ้าของที่ดินให้ผู้อื่นเช่าตึกแถวต่อไปแต่ผู้ปลูกตึกแถวอาศัยอยู่สองห้องได้จนตลอดชีวิตดังนี้เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินให้เขาปลูกตึกในที่ดินโดยมีค่าตอบแทนไม่ใช่เรื่องให้อาศัยในตึกที่ปลูกสร้างขึ้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เข้ามาอยู่อาศัยในห้องเลขที่ 485-487 ตำบลป้อมปราบ จังหวัดพระนคร ของโจทก์โดยมิได้เสียค่าตอบแทนอย่างใดให้แก่โจทก์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2490 บัดนี้จำเลยประพฤติตนไม่สมควร โจทก์จึงไม่มีความประสงค์จะให้จำเลยอยู่ต่อไปได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปก็เพิกเฉยเสีย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร

จำเลยแก้ว่าโจทก์ฟ้องปิดบังความจริง จำเลยได้เข้าอยู่โดยมีสินจ้างตอบแทน โดยโจทก์ยอมให้จำเลยเข้าปลูกตึกแถวด้วยทุนทรัพย์ของจำเลยรวม7 ห้องครึ่ง สิ้นค่าก่อสร้างไปหนึ่งแสนสามหมื่นบาทเศษเมื่อปลูกเสร็จแล้ว จำเลยยอมให้โจทก์เก็บค่าเช่า 5 ห้องครึ่ง ค่าเช่าห้องละ 80 บาท ต่อเดือน อีกสองห้องที่โจทก์ฟ้องนั้น โจทก์ได้ทำสัญญายอมให้จำเลยอยู่จนตลอดชีวิตโจทก์ได้รับประโยชน์ตอบแทนจากจำเลยมากมิใช่เป็นเรื่องอาศัยดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยยอมให้โจทก์เลือกเอาดังนี้ 1. ให้โจทก์ใช้เงิน 50,000 บาท ช่วยทุนที่จำเลยได้ลงไป 2. ให้จำเลยเช่าตึก 2 ห้องนี้ได้ และยอมทำสัญญาเช่ากับผู้รับเซ้ง3. ยอมให้จำเลยอยู่ต่อไปโดยจำเลยยอมให้ผลประโยชน์แก่โจทก์ห้องละ 80 บาท ต่อเดือน

โจทก์ส่งหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถว 1 ฉบับ จำเลยรับว่าได้ถ้าโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์จริง และส่งหนังสือบอกกล่าวอีก 1 ฉบับจำเลยรับว่าได้รับบอกกล่าวจากโจทก์จริง

จำเลยส่งหนังสือพินัยกรรมที่โจทก์ทำไว้เกี่ยวแก่ตึกแถวรายนี้ให้ไว้แก่จำเลย1 ฉบับ โจทก์รับว่าได้ทำไว้จริง

โจทก์จำเลยต่างไม่สืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยตามเอกสารที่ส่ง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เอกสาร จ.1 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2490 เป็นเอกสารที่จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวรายนี้ ให้แก่โจทก์มีข้อความว่า เนื่องจากจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2490 และได้ทำการปลูกสร้างตึกแถวสองชั้นเจ็ดห้องครึ่งแล้วโจทก์ไม่ได้เรียกค่าเช่าหรือเงินกินเปล่า จำเลยจึงยกตึกแถวให้โจทก์เอกสารหมาย ล.1 เป็นหนังสือพินัยกรรมที่โจทก์ทำมอบให้ไว้แก่จำเลยลงวันที่ 18 มิถุนายน 2490 มีใจความว่า จำเลยมีบุญคุณช่วยเหลือโจทก์ปลูกตึกแถวให้แก่โจทก์ โจทก์ให้จำเลยอยู่อาศัยตึกรายพิพาทสองห้องไปจนตลอดชีวิต โดยสั่งทายาทไว้ไม่ให้บังคับขับไล่จำเลยตามเอกสารสองฉบับดังกล่าว ชี้ให้ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้สร้างตึกแถวเจ็ดห้องครึ่งในที่ดินของโจทก์ โดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยในตึกพิพาทสองห้องตลอดชีวิตเป็นการตอบแทนกันซึ่งมีผลบังคับได้ หาใช่จำเลยอาศัยอยู่โดยมิได้ให้ค่าตอบแทนตามฟ้องไม่ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความ 50 บาทแทนจำเลยด้วย

โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นผู้พิจารณารับรองให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดียังไม่มีพยานหลักฐานให้ฟังว่าโจทก์จำเลยได้มีข้อตกลงกันดังจำเลยต่อสู้ เพราะจำเลยไม่สืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้าง เอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมคำสั่งเผื่อตาย จะมีผลบังคับต่อเมื่อโจทก์ตายไปแล้ว หาใช่เป็นหลักฐานสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยไม่คดียังฟังไม่ได้ว่าเป็นเรื่องมีสัญญาต่างตอบแทนกัน ควรฟังว่าเป็นเรื่องโจทก์ให้จำเลยอาศัยอยู่เมื่อโจทก์กลับใจไม่ยอมให้จำเลยอาศัยต่อไป จำเลยย่อมหมดสิทธิในการอยู่อาศัย พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับไปทั้งสองศาล

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงและประชุมพิจารณาแล้ว เห็นด้วยศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.1 เป็นพินัยกรรม จะบังเกิดผลตามพินัยกรรมต่อเมื่อโจทก์ผู้ทำพินัยกรรมตายแล้ว แต่ในพินัยกรรมนี้บอกกล่าวข้อเท็จจริงไว้อย่างชัดว่า จำเลยเป็นผุ้มีบุญคุณแก่โจทก์ผู้ทำพินัยกรรม กล่าวคือ ทำการช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นเมื่อเกิดเพลิงไหม้ได้ทำรั้วป้องกันทรัพย์ กับช่วยเหลืออย่างอื่น ๆ อีกเอนกประการโดยออกทุนทรัพย์ส่วนของตนเองทั้งสิ้น ครั้นต่อมาภายหลังได้ขออนุญาตทำการก่อสร้างตึกแถวสองชั้น ข้าพเจ้า (โจทก์)ได้อนุญาตให้ทำการก่อสร้างเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2490 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2490 สร้างตึกแถวสองชั้นได้เจ็ดห้องครึ่งสิ้นเงินค่าทำการก่อสร้าง 121,249 บาท 60 สตางค์ และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2490 นายจินม่งฮวด (จำเลย) ได้ให้ข้าพเจ้า (โจทก์) ทำหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวกับผู้ที่มาขอเช่า พร้อมทั้งให้เป็นผู้เก็บเงินค่าเช่าเอง ฉะนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณจึงทำหนังสือฉบับนี้ให้ไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงว่าเมื่อถึงแก่กรรมไปแล้ว ห้ามไม่ให้บุตรคนหนึ่งคนใดหรือภรรยาทำการขับไล่ยังย้ำกล่าวว่าห้ามเด็ดขาดไม่ให้ทำการขับไล่ จะทำการขับไล่อย่างใดไม่ได้ทั้งสิ้น ฯลฯ ข้อเท็จจริงดังกล่าวบอกไว้อย่างชัด ๆ ว่า การที่จำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวในที่ของโจทก์นั้นโดยโจทก์อนุญาต และได้รับประโยชน์ตอบแทนในตึกที่ก่อสร้าง หาใช่จำเลยได้เข้าอยู่อาศัยโดยมิได้เสียค่าตอบแทนอย่างใด ๆ ดังที่โจทก์ฟ้องไม่ แต่เป็นเรื่องโจทก์ให้จำเลยปลูกสร้างตึกในที่ของโจทก์โดยมีค่าตอบแทน ศาลนี้เห็นด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนาย รวม 3 ศาล 150 บาทแทนจำเลย

Share