คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1351/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นแต่เพียงผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนของผู้ขนส่งในราชอาณาจักร เนื่องจากผู้ประกอบกิจการรับขนของทางทะเลมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ จึงมอบให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการต่าง ๆ ที่ท่าต้นทางแทน โดยโจทก์จะได้รับบำเหน็จตัวแทนจากจำนวนค่าระวางที่ผู้ส่งชำระให้ โจทก์จึงเป็นผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายตามประเพณีในธุรกิจการรับขนของทางทะเล ให้เป็นตัวแทนผู้ขนส่งในการดำเนินงานอันเกี่ยวกับธุรกิจเนื่องจากการรับขนของทางทะเล โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลฯ มาตรา 3 โจทก์เป็นตัวแทนสายการเดินเรือ ว. ซึ่งเป็นผู้ขนส่งเท่านั้น โจทก์จึงมิใช่คู่สัญญาตามสัญญารับขนของทางทะเลกับจำเลย ทั้งไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจตัวแทนผู้ขนส่งฟ้องคดีแทนผู้ขนส่งได้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยที่สายการเดินเรือ ว. มิได้มอบอำนาจให้ดำเนินการ จึงไม่มีอำนาจทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801(5) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชี้สองสถานโดยมิได้กำหนดประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ แต่ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้มีการกำหนดประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปก็ได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการรับขนส่งสินค้าทางบก ทางน้ำ (ทะเล) และทางอากาศทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ มีกรรมการสองคนลงนามร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์กระทำการแทนโจทก์ได้ จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 119,701.19 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 116,680.29 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”…ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2543 จำเลยได้ติดต่อโจทก์เพื่อขนส่งสินค้าของจำเลยจากประเทศไทยไปส่งมอบแก่ผู้ซื้อหรือผู้รับตราส่งที่เมืองท่าไฮฟง ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ต่อมาสายการเดินเรือเวอร์โก้ไลน์ได้ขนส่งสินค้าของจำเลยไปส่งแล้ว แต่จำเลยยังไม่ชำระค่าระวางและค่าใช้จ่ายต่าง ๆให้โจทก์ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ นางสาวศิริพร บวรสุภาลักษณ์ พนักงานบริษัทโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์มีหลายสายการเดินเรือ เช่น NYK,APL เป็นต้น สายการเดินเรือเวอร์โก้ไลน์ (Virgo Line) โจทก์เป็นผู้แทนแต่ผู้เดียวในราชอาณาจักร ในต่างประเทศจะมีเอเย่นต์ประจำ และใบตราส่งเอกสารหมาย จ.4 ที่ด้านบนมีข้อความเป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ว่า เวอร์โก้ ไลน์ และด้านล่างของเอกสารก็มีข้อความเป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ว่าลายมือผู้ขนส่ง “เวอร์โก้ ไลน์” โดยบริษัทลีโอ ทรานสปอร์ตคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อพิจารณาประกอบกับบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงของนางสาวทัศนีย์ เรืองสุวรรณกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ว่า “โจทก์เป็นแต่เพียงผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนของผู้ขนส่งในราชอาณาจักรเท่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบกิจการรับขนของทางทะเลมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ จึงมอบให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการต่าง ๆ ที่ท่าต้นทางแทนโดยโจทก์จะได้รับบำเหน็จตัวแทนจากจำนวนค่าระวางที่ผู้ส่งชำระให้” แล้ว ทางนำสืบของโจทก์เจือสมกับข้ออ้างของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายตามประเพณีในธุรกิจการรับขนของทางทะเลให้เป็นตัวแทนผู้ขนส่งในการดำเนินงานอันเกี่ยวกับธุรกิจ เนื่องจากการรับขนของทางทะเลโจทก์ จึงไม่ใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ. 2534 มาตรา 3 โจทก์เป็นตัวแทนสายการเดินเรือเวอร์โก้ ไลน์ ซึ่งเป็นผู้ขนส่งเท่านั้น โจทก์จึงมิใช่คู่สัญญาตามสัญญารับขนของทางทะเลกับจำเลย ทั้งไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจตัวแทนผู้ขนส่งฟ้องคดีแทนผู้ขนส่งได้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยที่สายการเดินเรือเวอร์โก้ ไลน์ มิได้มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801(5) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า คดีนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชี้สองสถานโดยกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า 1. จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ และ 2. โจทก์ทำให้จำเลยเสียหายหรือไม่ โดยมิได้กำหนดประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จะมิได้มีการกำหนดประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปก็ได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยดังกล่าวจึงชอบแล้ว ส่วนอุทธรณ์ในข้ออื่นของโจทก์ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงจึงไม่วินิจฉัย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share