คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9296/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องถึงประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจำเลยกับพวกได้ทราบข้อความดังกล่าวแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้แนบประกาศมาท้ายฟ้องก็ไม่ใช่สาระสำคัญ คำฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
การที่จำเลยอ้างว่าประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวไม่ใช่กฎหมาย โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยได้ทราบประกาศฉบับนี้แล้วหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แก้ไขบทลงโทษและโทษจำคุก แต่เป็นการปรับบทลงโทษบทเดิมตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67, 102 ป.อ. มาตรา 32, 83 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 จำคุก 4 ปี ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) ให้จำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยอาศัยประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 เป็นองค์ประกอบความผิด แต่ประกาศดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์ไม่ได้แสดงมาในฟ้องว่า ประกาศมีอยู่จริงหรือไม่ โดยโจทก์ไม่ได้แนบประกาศมาท้ายฟ้อง ถือว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2539 บัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) ลำดับที่ 20 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจำเลยกับพวกได้ทราบข้อความในประกาศฉบับดังกล่าวแล้ว อันเป็นการแสดงมาในฟ้องแล้วว่าประกาศดังกล่าวมีอยู่จริง แม้โจทก์จะไม่ได้แนบประกาศมาท้ายฟ้องด้วยก็ไม่ใช่สาระสำคัญอันจะทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับดังกล่าวไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยได้ทราบประกาศฉบับนี้แล้ว เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยได้ทราบประกาศแล้วจึงลงโทษจำเลยไม่ได้นั้น เห็นว่า จำเลยได้ทราบประกาศฉบับดังกล่าวแล้วหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่ข้อกฎหมายดังที่จำเลยอ้าง ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แก้ไขบทลงโทษและโทษจำคุกที่ลงแก่จำเลย แต่การแก้ไขบทลงโทษเป็นการปรับบทลงโทษบทเดิมตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ แต่ก็ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงเป็นเพียงการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แต่อย่างไรก็ดีขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 18 ปี ยังเป็นนักเรียน ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของจำเลยแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้นหนักเกินไป ยังไม่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยสักครั้ง เพื่อให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีและศึกษาเล่าเรียนต่อไป ซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมมากกว่าที่จะจำคุกจำเลยไปเสียทีเดียว แต่เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบเห็นสมควรลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งและกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย แต่โทษปรับที่จะลงแก่จำเลยนั้นตามกฎหมายเดิม มาตรา 67 เป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดอันเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยไม่ว่าในทางใด ตาม ป.อ. มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 (เดิมและที่แก้ไขใหม่) โดยปรับจำเลย 30,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 หนึ่งในสามแล้วคงปรับจำเลย 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 2 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิด และให้จำเลยละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตาม ป.อ. มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.

Share