คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์โดยกำหนด ให้โจทก์ส่งสินค้าไปยังห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงใหม่ปากบาราซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ดังนั้น ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เข้าลักษณะเป็นการแสดงตนเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์เกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่โจทก์ได้บรรยายในฟ้องและเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
โจทก์อุทธรณ์เพียงแต่ยกเอาบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและคำเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านของจำเลยที่ 2 บางตอนเฉพาะที่เป็นคุณแก่โจทก์มากล่าวไว้ในอุทธรณ์แล้วสรุปเอาเองว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 ธันวาคม 2549 แล้วศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันที่ 26 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นวันผิดนัด เป็นการเกินคำขอ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 246 และมาตรา 142 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 26 กันยายน 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่าโจทก์อุทธรณ์ว่า”จำเลยที่ 2 ได้ทำนิติกรรมสัญญาซื้อขายสินค้าจำพวกหนังหมูกับโจทก์ เพื่อเอื้ออำนวยต่อผลประโยชน์ของธุรกิจจำเลยที่ 2 เอง เพราะจำเลยที่ 2 ได้สั่งซื้อสินค้าดังกล่าวเข้ามาจำหน่าย โดยระบุในใบสั่งซื้อสินค้าตามเอกสารท้ายคำฟ้องว่า ให้นำส่งที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงใหม่ปากบารา ซึ่งจำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเข้าลักษณะเป็นการกระทำที่แสดงตนเป็นตัวแทนเชิดจำเลยที่ 1 เพื่อที่จำเลยที่ 2 จะได้รับผลประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว และทำให้โจทก์มีมูลเหตุอันสมควรเชื่อว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทนจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้…” นั้น เห็นว่า เป็นอุทธรณ์ที่เกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อค้าขาย จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการได้สั่งซื้อสินค้าตามเอกสารท้ายคำฟ้องจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการและผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ในมูลหนี้ของจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
โจทก์อุทธรณ์เพียงแต่ยกเอาบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นและคำเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านของจำเลยที่ 2 บางตอนเฉพาะที่เป็นคุณแก่โจทก์มากล่าวไว้ในอุทธรณ์แล้วสรุปเอาเองว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย
โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระต้นเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 ธันวาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันที่ 26 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นวันผิดนัด เป็นการเกินคำขอในส่วนที่เป็นระยะเวลาคิดดอกเบี้ยซึ่งไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 และมาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยให้จำเลยที่ 1 ชำระนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share