คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3974/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงที่ตั้งที่ดินพิพาท ที่ดินส่วนที่ให้จำเลยอาศัยวันที่จำเลยทำรั้วล้อมรอบปิดกั้นทางเดินเข้าออก แม้ไม่ระบุถึงอาณาเขตที่ดินพิพาทเป็นอย่างไร ถึงไหน จดที่ดินของใคร กว้างยาวเท่าใด ก็สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาคำฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
คดีนี้แม้จะมีการทำแผนที่พิพาท และคู่ความแถลงรับกันว่าที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวาอยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์ ที่ดินเนื้อที่ 28 ตารางวา อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์แต่โจทก์ฟ้องที่ดินพิพาททั้ง 2 ส่วนรวมกันมาเป็น 59 ตารางวา ประเด็นพิพาทที่ศาลกำหนดมีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลย เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์เพียง 28 ตารางวา เท่านั้น ส่วนที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวา อยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นก็พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากเขตที่ดินของโจทก์ ทั้งให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไปด้วยเท่ากับยกฟ้องในที่ดินส่วนเนื้อที่ 31 ตารางวา ที่จำเลยนำชี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้วินิจฉัยถึงที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวา ซึ่งอยู่นอกเขตของโจทก์จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 3234 ร่วมกับนางคีม แช่มช้อย และนายกำ จันทร์หอม โจทก์ให้จำเลยอาศัยทำลานนวดข้าวอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินดังกล่าว มีเนื้อที่ประมาณ 1 งาน ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2537 จำเลยทำรั้วล้อมรอบที่ดินส่วนดังกล่าวปิดทางเดินซึ่งโจทก์เคยให้เดินออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ โจทก์ต้องแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาย้อย จำเลยจึงยอมเปิดทาง โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนรั้วที่อยู่ในที่ดินและที่ปิดกั้นทางเดินของโจทก์ออกด้วย

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวเป็นของจำเลย

โจทก์ให้การ ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ โดยให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่อยู่ในที่ดินดังกล่าวออกไปด้วย ยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 จำเลยถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนางสาวลำดวน แยกรัง ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งตั้งนางสาวลำดวน แยกรัง เป็นคู่ความแทน

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า “คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น” สภาพแห่งข้อหาก็คือจำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยทำรั้วล้อมรอบที่ดินส่วนที่โจทก์ให้จำเลยอยู่อาศัยทางด้านทิศตะวันออกเป็นเนื้อที่ประมาณ 1 งาน ปิดทางเดินซึ่งโจทก์เคยใช้เดินออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็คือสิทธิของโจทก์ หน้าที่ และความรับผิดของจำเลยโดยโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท โจทก์มีสิทธิให้จำเลยออกไปโดยไม่ให้อาศัยทำลานนวดข้าวต่อไป แต่จำเลยไม่ยอมออกไปและไม่ยอมรื้อรั้วออกไป อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์คำขอบังคับก็คือให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท พร้อมทั้งรื้อถอนรั้วที่อยู่ในที่ดินและที่ปิดกั้นทางเดินของโจทก์ซึ่งใช้เดินสู่ทางสาธารณประโยชน์ออกไป ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงที่ตั้งที่ดินพิพาทที่ดินส่วนที่ให้จำเลยอาศัย วันที่จำเลยทำรั้วล้อมรอบปิดกั้นทางเดินเข้าออก แม้ไม่ระบุถึงอาณาเขตที่ดินพิพาทเป็นอย่างไร ถึงไหนจดที่ดินของใคร กว้างยาวเท่าใด ก็สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายข้อสุดท้ายว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้วินิจฉัยถึงที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวา ซึ่งอยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์แต่จำเลยครอบครองอยู่ด้วย ไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า คดีนี้แม้จะมีการทำแผนที่พิพาทและคู่ความแถลงรับกันว่าที่ดินตามแนวเส้นดำเขียวเนื้อที่ 31 ตารางวา อยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์ที่ดินตามแนวเส้นสีดำฟ้าเนื้อที่ 28 ตารางวา อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ แต่โจทก์ฟ้องที่ดินพิพาททั้ง 2 ส่วน รวมกันมาเป็น 59 ตารางวาก็ตาม ประเด็นพิพาทที่ศาลกำหนดไว้ในข้อ 2 ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2538 คงมีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลย เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์เพียง 28 ตารางวาเท่านั้น ส่วนที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวา อยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นก็พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากเขตที่ดินของโจทก์ ทั้งให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไปด้วย เท่ากับยกฟ้องในที่ดินส่วนเนื้อที่ 31 ตารางวาที่จำเลยนำชี้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่วินิจฉัยถึงที่ดินเนื้อที่ 31 ตารางวาที่อยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share