คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องกับจำเลยร่วมกันซื้อที่ดิน 2 แปลง โดยตกลงแบ่งการครอบครองเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจำเลยได้ส่วนแบ่งทางด้านทิศตะวันตก ส่วนผู้ร้องได้ส่วนแบ่งด้านทิศตะวันออกคนละครึ่ง อันเป็นข้อตกลงภายในระหว่างกันเองว่ามีการแบ่งแยกการครอบครองอย่างไรเท่านั้น หาได้มีการแบ่งแยกกันครอบครองอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนไม่ เมื่อจำเลยนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองต่อโจทก์ ผู้ร้องก็ทราบและให้ความยินยอมเป็นหนังสือ ทั้งเมื่อมีการจดทะเบียนจำนองนอกจากผู้ร้องจะไม่ให้ปากคำใด ๆ แล้ว ยังไม่ส่งมอบเอกสารการแบ่งแยกการครอบครองที่ผู้ร้องกับจำเลยทำต่อกันแก่เจ้าพนักงานที่ดินเพื่อทราบ ซึ่งนับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของผู้ร้องอย่างมาก ฉะนั้น การที่จะให้โจทก์เรียกเอกสารประกอบอื่นใดที่อาจมาบั่นทอนกรรมสิทธิ์ของหลักประกันนั้นย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่โจทก์พึงกระทำ เว้นแต่ผู้ร้องจะเสาะหามาแสดงเอง กรณีต้องถือว่าผู้ร้องและจำเลยได้ร่วมกันครอบครองที่ดินทุกส่วนทั้งสองแปลงอันโจทก์มีสิทธิยึดเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้กันส่วนของตนในที่ดินทั้งสองแปลงออกก่อนขายทอดตลาด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจำเลยจะผ่อนชำระ หากผิดนัดยอมให้บังคับคดีได้ทันทีด้วยการยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินแก่โจทก์ โจทก์จึงขอให้ออกหมายบังคับคดี แล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3972 และ 4065 ตำบลปึกเตียน อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้ร้อง และที่ดินแปลงอื่น ๆ ของจำเลยอีก 11 แปลง ขายทอดตลาด

ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 3972 และ 4065 ที่โจทก์นำยึดมานั้น ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลย โดยผู้ร้องกับจำเลยได้ตกลงแบ่งที่ดินคนละส่วนเท่ากัน ส่วนของผู้ร้องอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ส่วนของจำเลยอยู่ทางด้านทิศตะวันตกทั้งสองแปลง โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินส่วนของผู้ร้องมาขายทอดตลาด ขอให้ศาลมีคำสั่งกันส่วนที่ดินของผู้ร้องและให้ขายทอดตลาดเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้น

โจทก์และจำเลยไม่ยื่นคำคัดค้าน

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องและจำเลยยังมิได้แบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงครอบครองกันเป็นส่วนสัด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนที่ดิน จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิขอกันเงินส่วนของตนจากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 3972 และ 4065 ตำบลปึกเตียน อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น และยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนของตนในที่ดินทั้งสองแปลงก่อนขายทอดตลาดได้หรือไม่ โดยผู้ร้องกับจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า ได้ร่วมกันซื้อที่ดินทั้งสองแปลงมาจากนายชัย เทียนฟัก ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2532 และตกลงแบ่งการครอบครองกันว่าจำเลยได้ส่วนแบ่งด้านทิศตะวันตก ส่วนของผู้ร้องได้ส่วนแบ่งด้านทิศตะวันออกคนละครึ่ง ต่อมาได้มีการตกลงการครอบครองกันเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากนี้ยังได้ความจากการตอบคำถามค้านของทนายโจทก์อีกว่า ในการที่จำเลยนำที่ดินพิพาททั้งสองแปลงไปจำนองต่อโจทก์ ผู้ร้องก็ได้ให้ความยินยอมเป็นหนังสือด้วย และก็มิได้แจ้งต่อโจทก์ผู้รับจำนองว่าผู้ร้องกับจำเลยได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินพิพาทนี้เป็นส่วนสัดแน่นอนอย่างไร และมิได้ส่งมอบบันทึกการตกลงการครอบครองแก่เจ้าพนักงานที่ดินเมื่อตอนจดทะเบียนจำนองอีกด้วย ดังนี้เห็นว่า ผู้ร้องเพียงแต่มีข้อตกลงภายในระหว่างผู้ร้องกับจำเลยว่ามีการแบ่งแยกการครอบครองกันอย่างไรเท่านั้น หาได้มีการแบ่งแยกกันครอบครองอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนไม่ เมื่อจำเลยนำที่ดินพิพาทไปจำนองต่อโจทก์ผู้ร้องก็ทราบและยังได้ให้ความยินยอมเป็นหนังสืออีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีการจดทะเบียนจำนอง นอกจากผู้ร้องจะไม่ให้ปากคำใด ๆ แล้วยังไม่ได้ส่งมอบบันทึกการตกลงการครอบครองแก่เจ้าพนักงานที่ดินเพื่อทราบอีกซึ่งนับว่าเป็นความเลินเล่อของผู้ร้องอย่างมาก การที่จะให้โจทก์ผู้รับจำนองต้องเรียกเอกสารประกอบอื่นใดที่อาจจะมาบั่นทอนกรรมสิทธิ์ของหลักประกันนั้นย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่โจทก์จะพึงกระทำ เว้นแต่ผู้ร้องจะเสาะหามาแสดงเอง ดังนั้น จึงต้องถือว่าผู้ร้องและจำเลยได้ร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาททุกส่วนทั้งสองแปลงอันโจทก์มีสิทธิยึดเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ทั้งแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share