คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยร่วมกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนีเพื่อให้พ้นการจับกุมเมื่อพวกของจำเลยชิงทรัพย์ได้มาแล้ว จำเลยจึงต้องระวางโทษหนักขึ้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340ตรี แต่รถจักรยานยนต์นี้ก็มิใช่ทรัพย์สินซึ่งจำเลยกับพวกได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์รายนี้คงเป็นเพียงยานพาหนะไปมาและพาจำเลยกับพวกหลบหนีให้พ้นการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คนร่วมกันชิงทรัพย์ โดยจำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้พวกของจำเลยนั่งซ้อนท้ายเข้าทำการชิงทรัพย์ในร้านขายทอง แล้วพาหลบหนีไป จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 335,340 ตรี83, 93 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14, 15 ริบของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับในข้อที่เคยต้องโทษและพ้นโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง, 83 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 14, 15 จำคุก 15 ปี เพิ่มโทษมาตรา 93 กึ่งหนึ่งจำคุก 22 ปี 6 เดือน รับสารภาพชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสามจำคุก 15 ปี ของกลางริบ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยได้ร่วมกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์รายนี้โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลบหนีเพื่อให้พ้นการจับกุมเมื่อพวกของจำเลยชิงทรัพย์ได้มาแล้ว จำเลยจึงต้องระวางโทษหนักขึ้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี แต่รถจักรยานยนต์นี้ก็มิใช่ทรัพย์สินซึ่งจำเลยกับพวกได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์รายนี้ คงเป็นเพียงยานพาหนะไปมาและพาจำเลยกับพวกหลบหนีให้พ้นการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้นจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาริบรถจักรยานยนต์ของกลางยังไม่ถูกต้อง

พิพากษาแก้เฉพาะข้อที่ให้ริบของกลางเป็นว่า รถจักรยานยนต์ของกลางให้คืนจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share