แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทตามคำฟ้องเดิมซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยบุกรุกทำรั้วล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ที่ 1 มีราคาเพียง 1,000บาทเท่านั้น แต่เมื่อทำแผนที่กลางจำเลยนำชี้นอกเหนือออกไปจากที่พิพาทตามคำฟ้องเดิมคิดเป็นราคา 4,000 บาท และระบุไว้ในแผนที่กลางว่าที่พิพาทตามคำฟ้องเดิมกับที่จำเลยชี้นอกเหนือออกไปนั้น เป็นที่พิพาทในคดีทั้งหมด ดังนี้ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง เพราะเป็นการนอกประเด็นในคำฟ้องและข้อต่อสู้ ฉะนั้น การที่โจทก์ขอแก้คำขอท้ายฟ้องเพิ่มเติมทุนทรัพย์จาก 1,000 บาทเป็น 5,000 บาท และขอเสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม จึงเป็นการตั้งทุนทรัพย์ขึ้นใหม่ อันเป็นทุนทรัพย์นอกที่พิพาทและนอกคำฟ้อง ไม่ใช่เป็นการขอเพิ่มราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(1) การแก้ไขคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบที่จะกระทำได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 มีที่สวนติดกับที่ดินจำเลย โจทก์ที่ 2 ปลูกเรือนในที่สวนนี้ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2515จำเลยและบริวารบุกรุกทำรั้วเข้าไปในที่สวน โดยปักเสาขึงลวดหนามปิดช่องประตูบ้านและบันไดเรือนบางส่วนของโจทก์ที่ 2 รถเข้าออกส่งสินค้าไม่ได้ ทำให้ขาดประโยชน์ไป 2,000 บาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินส่วนที่จำเลยบุกรุกราคา 1,000 บาทเป็นของโจทก์ที่ 1 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยรื้อลวดหนามและใช้ค่าเสียหาย 2,000 บาทแก่โจทก์ที่ 2
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า แผนที่ท้ายฟ้องไม่ถูกต้องสามีโจทก์ที่ 2 มาขออาศัยปลูกบ้านในที่ดินของจำเลย ต่อมาโจทก์ที่ 2 ซ่อมแซมบ้าน จำเลยห้ามและบอกให้รื้อออกไปก็เพิกเฉยจำเลยจึงกั้นรั้วเพื่อป้องกันไม่ให้โจทก์ที่ 2 กับบริวารมาเกี่ยวข้อง โจทก์ที่ 2 ไม่เสียหายอนึ่ง เมื่อ พ.ศ.2512 โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอขายที่ดินนำรังวัดเข้าไปในเขตที่ดินของจำเลยจำเลยได้คัดค้านและครอบครองที่ดินมา โจทก์ที่ 1 ไม่ฟ้องใน 1 ปี คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ที่ 2 รื้อเรือนออกไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ไม่รับรองแผนที่สังเขปท้ายคำให้การจำเลยเพิ่งจะบุกรุกเข้าไปในที่พิพาทเพื่อแย่งสิทธิของโจทก์ และเจตนาจะให้โจทก์ที่ 2 รื้อบ้านเรือนเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจำเลยไม่เคยครอบครองที่พิพาท การคัดค้านของจำเลยไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ เพราะโจทก์ที่ 2 เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท
ศาลชั้นต้นให้ทำแผนที่กลางตามที่คู่ความนำชี้ ปรากฏว่าจำเลยนำชี้ที่ดินนอกเหนือไปจากที่พิพาทตามฟ้องว่าเป็นของจำเลยเพิ่มขึ้นอีกคิดเป็นราคา 4,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จแล้ว โจทก์ขอแก้คำขอท้ายฟ้องเพิ่มเติมทุนทรัพย์จาก 1,000 บาท เป็น 5,000 บาท และขอเสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทตามแผนที่กลางเป็นของโจทก์ที่เรือนของโจทก์ที่ 2 บางส่วนปลูกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของจำเลย จำเลยทำรั้วลวดหนามในที่ดินโจทก์ที่ 1 ทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย 500 บาท พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยรื้อลวดหนามออกไปจากที่ดินโจทก์ที่ 1 และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 500 บาท กับให้โจทก์ที่ 2 รื้อเรือนส่วนที่ล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลย
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้คำขอท้ายฟ้องเพิ่มเติมทุนทรัพย์นั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 วรรคสอง และฟังว่าที่พิพาทตามฟ้องเดิมเป็นของโจทก์ที่ 1 จำเลยกั้นรั้วเข้าไปในเขตที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์ที่ 2 เสียหาย 2,000 บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ที่พิพาทตามฟ้องเดิมเป็นของโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 2,000 บาท และไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเพิ่ม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา
ในปัญหาที่ว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นเกี่ยวกับที่พิพาทตามคำฟ้องเดิมเฉพาะส่วนที่จำเลยบุกรุกทำรั้วล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ที่ 1 ซึ่งมีราคาเพียง 1,000 บาทเท่านั้น เมื่อทำแผนที่กลางจำเลยนำชี้นอกเหนือออกไปจากที่พิพาทตามคำฟ้องเดิม คิดเป็นราคา 4,000 บาท และระบุไว้ในแผนที่กลางว่า ที่พิพาทตามคำฟ้องเดิมกับที่จำเลยนำชี้นอกเหนือออกไปนั้น เป็นที่พิพาทในคดีทั้งหมด ซึ่งย่อมไม่เป็นการถูกต้อง เพราะเป็นการนอกประเด็นในคำฟ้อง และนอกประเด็นข้อต่อสู้ ฉะนั้น ที่โจทก์ขอเพิ่มราคาทรัพย์อีก 4,000 บาทเป็น 5,000 บาทนั้นจึงเป็นการตั้งทุนทรัพย์ขึ้นใหม่ อันเป็นทุนทรัพย์นอกที่พิพาทและนอกคำฟ้อง กรณีไม่ใช่เป็นการขอเพิ่มราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(1) การแก้ไขคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบที่จะกระทำได้ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำขอท้ายฟ้องเช่นนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ในปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาว่า เรือนโจทก์ที่ 2 ปลูกรุกล้ำที่ดินจำเลยโดยสุจริตต้องปรับคดีตามมาตรา 1312 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหานี้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น จึงไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงบางข้อนั้นวินิจฉัยว่า โจทก์เองว่าจำเลยทำรั้วบุกรุกที่สวนราคา 1,000 บาท ของโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 เสียหาย 2,000 บาท ราคาทุนทรัพย์ที่พิพาทมีเพียง 3,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเรื่องค่าเสียหายเพียงเล็กน้อย คดีต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงรวมมาจึงไม่ชอบ
ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องและคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยภายใน 1 ปีนับแต่วันที่จำเลยบุกรุกที่ของโจทก์คดีของโจทก์จึงไม่ขาดสิทธิในการฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองในที่พิพาท
พิพากษายืน