คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยชื่ออำนาจ สุนทโรทยาน บ้านอยู่จังหวัดกาฬสินธุ์ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ร่วมโดยมีเจตนาทุจริตว่าจำเลยชื่อคล้าย บ้านอยู่อำเภอพิบูลมังษาหาร อุบลราชธานี เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อยินยอมทำสัญญาให้จำเลยเช่าซื้อรถยนต์และส่งมอบรถยนต์ให้จำเลย แล้วจำเลยนำรถยนต์คันที่เช่าซื้อไปที่ประเทศลาวและหลบหนีไปโดยไม่ได้ติดต่อกับโจทก์ร่วม และไม่ได้ใช้เงินตามสัญญาเช่าซื้อ เช่นนี้แสดงว่าจำเลยหาได้มีเจตนาผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อในทางแพ่งไม่ การแสดงเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อของจำเลยเป็นแต่เพียงแผนการหรืออุบายในเชิงหลอกลวงเพื่อให้ได้ไปซึ่งรถยนต์เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดทางอาญาในฐานฉ้อโกง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงนายอนนท์ ตั้งตระกูล ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยชื่อคล้ายสุทาวัน อยู่ที่อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ความจริงจำเลยชื่ออำนาจ สุนทโรทยาน อยู่จังหวัดกาฬสินธุ์ และไม่มีคนชื่อคล้ายในอำเภอพิบูลมังสาหารเลย นายอนนท์ หลงเชื่อทำสัญญาให้จำเลยเช่าซื้อรถยนต์หนึ่งคันราคา 99,000 บาท จำเลยใช้เงินแล้ว 15,000 บาท นอกนั้นจะผ่อนใช้เป็นงวด ๆ นายอนนท์ ส่งมอบรถที่เช่าซื้อให้จำเลยไป จำเลยไม่ใช้เงินที่เหลือและหลบหนีไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และคืนหรือใช้ราคารถยนต์ที่ยังขาด

จำเลยให้การปฏิเสธ

นายอนนท์ ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ผู้เสียหายได้รถยนต์คืนแล้ว ให้ยกคำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีเจตนาก่อนิติสัมพันธ์ในทางแพ่ง เมื่อไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ ก็เป็นความผิดทางแพ่ง โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหาย โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยได้ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ร่วมโดยมีเจตนาทุจริต เมื่อโจทก์ร่วมหลงเชื่อยินยอมทำสัญญาให้จำเลยเช่าซื้อและส่งมอบรถยนต์ให้จำเลยแล้ว จำเลยไม่ติดต่อกับโจทก์ร่วมและไม่ใช้เงินตามสัญญาเช่าซื้อ ได้นำรถยนต์คันที่เช่าซื้อไปที่เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาวและหลบหนีไป เช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยหาได้มีเจตนาผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อในทางแพ่งไม่และการแสดงเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อของจำเลยเป็นแต่เพียงแผนการ หรืออุบายในเชิงหลอกลวงเพื่อให้ได้ไปซึ่งรถยนต์เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดทางอาญา ดังฟ้อง โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหาย โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย

พิพากษายืน

Share