คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาของศาลตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 107 อาจพิจารณาจากสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือศาลอาจออกนั่งพิจารณาฟังพยานหลักฐานอีกก็ชอบที่จะทำได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 738-740/2507)

ย่อยาว

คดีนี้ เป็นสาขาคดีชั้นขอรับชำระหนี้ นายสอั๊ด โซ๊ะวิเศษ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นเงิน 218,250 บาท

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดบรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ตรวจคำขอรับชำระหนี้แล้วสิบตำรวจเอกอุดม แตงโกเมน เจ้าหนี้รายที่ 10 ได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า เจ้าหนี้มีส่วนรู้เห็นที่จะช่วยลูกหนี้ จึงได้สมยอมกันทำสัญญากู้ขึ้นมาฟ้องคดีนี้ โดยไม่มีมูลหนี้กันจริง เห็นสมควรให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของนายสอั๊ด โซ๊ะวิเศษ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้เสีย

ศาลชั้นต้นไม่เห็นชอบด้วยตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสนอความเห็นมา มีคำสั่งให้นายสอั๊ด โซ๊ะวิเศษ ได้รับชำระหนี้ตามที่ขอมา

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายฟัด สากลวารี ลูกหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำขอรับชำระหนี้รายนี้เสีย

เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ฎีกา

ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า คำขอรับชำระหนี้รายนี้อันมีผู้โต้แย้ง ศาลจะสั่งยกคำขอรับชำระหนี้โดยวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสนอต่อศาลได้หรือไม่ หรือจะต้องฟังพยานหลักฐานจากการพิจารณาของศาล

ศาลฎีกาเห็นว่า การพิจารณาของศาลตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 107 อาจพิจารณาจากสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือศาลอาจออกนั่งพิจารณาฟังพยานหลักฐานอีก ก็ชอบที่จะทำได้ ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นแบบอย่างมาแล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 738-740/2507 ทั้งข้อโต้แย้งของเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายนี้ก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดนอกเหนือจากที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้สอบสวนมาแล้วและถึงแม้จะพิจารณาฟังพยานหลักฐานหรือถ้อยแถลงของคู่ความอย่างใดต่อไปอีก ก็หาทำให้ข้อวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้มีมูลหนี้กันจริงเป็นการสมยอมก่อหนี้สินเพื่อเข้าเฉลี่ยหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ ทำให้เจ้าหนี้ผู้โต้แย้งและเจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบในการบังคับชำระหนี้

พิพากษายืน

Share