คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีแพ่ง ศาลจำจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะแต่ในข้อประเด็นที่คู่ความอ้างอิงยกขึ้นเป็นสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอันปรากฏตามฟ้องและคำให้การเท่านั้น
ตามฟ้อง โจทก์กล่าวอ้างว่า นายฟูจิโอ ผู้จัดการสาขาในประเทศไทย ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในนามบริษัทโจทก์ในญี่ปุ่นได้ โดยมีหนังสือมอบอำนาจเป็นหลักฐาน จะได้อ้างส่งศาลวันพิจารณา นายฟูจิโอมิได้อ้างว่าตนเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไปและมีกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหายของบริษัทโจทก์แต่อย่างไรเลย ต่อมาภายหลังที่จำเลยให้การตัดฟ้องและร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 แล้วทนายโจทก์จะอ้างหนังสือมอบอำนาจของบริษัทโจทก์ซึ่งเพิ่งมอบอำนาจขึ้นภายหลังวันที่นายฟูจิโอแต่งทนายยื่นฟ้องศาลแล้ว 9 วันมาเพื่อแสดงว่านายฟูจิโอมีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทโจทก์หาได้ไม่ และกรณีเช่นว่านี้หาเป็นกรณีฉุกเฉินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 802 ไม่ เพราะการรู้ว่าบริษัทจะต้องเสียหายด้วยการเสียภาษีนั้น สาขาบริษัทได้รู้นับแต่วันรับแจ้งการประเมินแล้ว มีเวลาเพียงพอตามประมวลรัษฎากรที่จะจัดการให้ได้รับมอบอำนาจให้กระทำการยื่นฟ้องต่อศาลได้ถ้าบริษัทโจทก์เห็นว่าการเรียกเก็บภาษีไม่ถูกต้องและติดใจจะยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อการอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรไม่สำเร็จ
การที่นายฟูจิโอแต่งทนายยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว 9 วัน บริษัทโจทก์จึงได้ทำการมอบอำนาจให้นายฟูจิโอทำการยื่นฟ้องต่อศาลแทนบริษัทได้ ทั้งได้ให้สัตยาบันการกระทำที่แล้วมานั้นด้วย ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะเมื่อนายฟูจิโอไม่มีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทในเวลาที่ยื่นฟ้องนั้นแล้วฟ้องของโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณามาแต่แรก ไม่มีทางใดๆ ที่ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณามาแต่ต้น แม้จะได้มีการรับรองหรือให้สัตยาบันในภายหลังต่อมา ก็หากระทำให้ฟ้องที่เสียใช้ไม่ได้แล้วนั้นกลับคืนดีมาเป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณาในภายหลังได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 723-724/2502 ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2502)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด จดทะเบียนและมีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น มีสาขาในพระนคร นายฟูจิโอ ฮาชิโมโตเป็นผู้จัดการสาขาในพระนคร ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในนามบริษัทโจทก์ได้ โดยมีหนังสือมอบอำนาจเป็นหลักฐาน จะได้อ้างส่งในวันพิจารณาจำเลยได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากสาขาโจทก์ในปี พ.ศ. 2498 และ 2499 รวมเป็นเงิน 79,337.06 บาท ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะยอดเงินที่จำเลยประเมินเรียกเก็บมานี้เป็นเงินที่สำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นได้รับจากผู้ซื้อสินค้าในประเทศไทย และเมื่อคำนวณดูผลกำไรในประเทศไทยแล้วไม่มีเลย โจทก์ได้อุทธรณ์ไปยังจำเลยตามประมวลรัษฎากร จำเลยได้วินิจฉัยชี้ขาดยกอุทธรณ์ของโจทก์เสีย โจทก์ถือว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าว

จำเลยต่อสู้ว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในนามของบริษัทโจทก์นั้น ถ้ามีอยู่จริงโจทก์ก็ต้องนำแสดงเวลายื่นฟ้องแล้ว แต่ตามฟ้องว่าจะส่งในวันพิจารณานั้นอาจยังไม่ได้ทำขึ้นหรือไม่ได้มีอยู่จริงหากสามารถส่งในวันพิจารณาได้ ก็เป็นเรื่องจัดทำขึ้นภายหลัง แต่ในขณะที่ยื่นฟ้องนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงต่อศาล อำนาจฟ้องคดีแทนยังไม่เกิดขึ้น จึงขอคัดค้านว่า นายฟูจิโอ ฮาชิโมโต ไม่มีอำนาจฟ้อง

ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องว่าทนายโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยทราบล่วงหน้าตามเอกสารปรากฏชัดว่าบริษัทอาตาก้า จำกัด ได้มอบอำนาจให้นายฟูจิโอ ฮาชิโมโต ดำเนินการฟ้องและต่อสู้คดีแทนบริษัทอาตาก้า จำกัด โดยหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 12 สิงหาคม 2502 ปรากฏว่าโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม2502 โดยทนายความซึ่งนายฟูจิโอ ฮาชิโมโต ทำหนังสือตั้งลงนามเป็นโจทก์ก่อนบริษัทอาตาก้า จำกัด มอบอำนาจให้เป็นผู้แทนในคดีถึง 9 วันในขณะยื่นฟ้องนายฟูจิโอ ฮาชิโมโต จึงมิได้เป็นผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในนามบริษัทอาตาก้า จำกัด การลงนามแต่งตั้งทนายในคดีนี้จึงมิชอบขอให้ศาลแพ่งชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 เกี่ยวกับอำนาจฟ้องเสียก่อน

ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า นายฟูจิโอ ฮาชิโมโต ผู้จัดการสาขาบริษัทโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ เพราะเป็นกรณีฉุกเฉินที่ตัวแทนต้องกระทำไปก่อนเพื่อป้องกันมิให้ตัวการเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 802 และกรณีนี้ตัวการก็ได้ทำหนังสือมอบอำนาจฉบับหลัง ให้สัตยาบันการกระทำที่ล่วงมาแล้วทั้งหมด การฟ้องคดีจึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 ให้ยกคำร้องจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยข้อวินิจฉัยทำนองเดียวกัน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ในคดีแพ่งนั้น ศาลจำจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะแต่ในข้อประเด็นที่คู่ความอ้างอิงยกขึ้นเป็นสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอันปรากฏตามฟ้องและคำให้การ ในเรื่องนี้ตามฟ้องโจทก์ได้กล่าวอ้างว่านายฟูจิโอ ฮาชิโมโตได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในนามบริษัทโจทก์ได้โดยมีหนังสือมอบอำนาจเป็นหลักฐาน จะได้อ้างส่งวันพิจารณา นายฟูจิโอ ฮาชิโมโต มิได้อ้างว่าตนเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป และมีกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันความเสียหายของบริษัทโจทก์แต่อย่างไรเลย ครั้นเมื่อทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2502 ทนายโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารหนังสือมอบอำนาจ ปรากฏว่าบริษัทอาตาก้า จำกัด เพิ่งได้มอบอำนาจโดยหนังสือลงวันที่ 12 สิงหาคม 2502 ซึ่งการมอบอำนาจนั้นได้มีขึ้นภายหลังวันที่นายฟูจิโอ ฮาชิโมโต แต่งทนายยื่นฟ้องต่อศาลถึง 9 วัน ภายหลังนั้นโจทก์จึงได้ยื่นคำแถลงว่า ความจริงนายฟูจิโอ ฮาชิโมโต ก็มีหนังสือมอบอำนาจอยู่ โดยคัดสำเนาและทำคำแปลขึ้นมาใหม่ท้ายคำแถลงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลไม่อาจรับข้ออ้างใหม่ที่โจทก์อาศัยเป็นหลักฟ้องจำเลยนี้มาพิจารณาวินิจฉัยได้ เพราะได้กล่าวอ้างขึ้นมาภายหลังที่จำเลยให้การตัดฟ้องและร้องขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 แล้วศาลฎีกายังเห็นต่อไปอีกว่า กรณีนี้ไม่เป็นเหตุฉุกเฉินตามมาตรา 802ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จับเอาเวลาที่จำเลยที่ 2 สั่งยกอุทธรณ์มาเป็นวันตั้งต้นนับเวลาที่นายฟูจิโอ ฮาชิโมโต ได้รู้ตัวว่าบริษัทอาตาก้า จำกัด จะต้องเสียหายนั้นไม่ถูกต้อง เพราะการรู้ว่าบริษัทจะต้องเสียหายด้วยการเสียภาษีนี้ สาขาบริษัทได้รู้นับแต่วันรับแจ้งการประเมินแล้ว มีเวลาเพียงพอตามประมวลรัษฎากรที่จะจัดการให้ได้รับมอบอำนาจให้กระทำการยื่นฟ้องต่อศาลได้ ถ้าบริษัทอาตาก้าจำกัด เห็นว่า การเรียกเก็บภาษีไม่ถูกต้องและติดใจจะยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อการอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากรไม่สำเร็จ ศาลฎีกาจึงเห็นว่ากรณีไม่เป็นเหตุฉุกเฉินตามมาตรา 802 อีกด้วย

ปัญหาในคดีคงมีแต่ว่า การที่นายฟูจิโอ ฮาชิโมโต แต่งทนายยื่นฟ้องแล้ว 9 วัน บริษัทอาตาก้า จำกัด จึงได้ทำการมอบอำนาจให้นายฟูจิโอ ฮาชิโมโต ทำการยื่นฟ้องต่อศาลแทนบริษัทได้ ทั้งได้ให้สัตยาบันการกระทำที่แล้วมานั้นด้วยจะใช้ได้เพียงไรหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อนายฟูจิโอ ฮาชิโมโต ไม่มีอำนาจแต่งทนายยื่นฟ้องแทนบริษัทอาตาก้าในเวลาที่ยื่นฟ้องนั้นแล้ว ฟ้องของโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณามาแต่แรก ไม่มีทางใด ๆ ที่ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณามาแต่ต้น แม้จะได้มีการรับรองหรือให้สัตยาบันในภายหลังต่อมา ก็หาทำให้ฟ้องที่เสียใช้ไม่ได้แล้วนั้น กลับคืนดีมาเป็นฟ้องอันชอบด้วยวิธีพิจารณาในภายหลังได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 723-724/2502)

คำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา ๆ พิพากษากลับ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์

Share