คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6694/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับ พ. ได้พา ม. ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษ และ ว. เพื่อนผู้เยาว์ไปที่บ้านส. ผู้เยาว์ขอให้จำเลยไปส่งผู้เยาว์ไปที่บ้าน ว. จำเลยไม่ยอมแต่กลับพาผู้เยาว์ไปที่บ้านพี่สาวของ พ. และให้ผู้เยาว์นอนค้างคืนที่บ้านพี่สาว พ. โดยจำเลยให้ผู้เยาว์นอนเตียงเดียวกับจำเลยตลอดทั้งคืน โดยจำเลยต้องการนอนกับผู้เยาว์ตามลำพังการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันไม่สมควรในทางเพศและเป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากผู้ปกครองและดูแลเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้พรากนางสาวมายวี ไพเมือง ผู้เยาว์ อายุ 16 ปี ไปเสียจากนางสุดา สันหลี ผู้ปกครองและผู้ดูแลผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 212/2537 ของศาลชั้นต้นให้รอการกำหนดโทษไว้ 2 ปี ภายในระยะเวลาที่ศาลรอการกำหนดโทษ จำเลยกลับมากระทำผิดคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 และกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้บวกเข้ากับโทษหรือระยะเวลาฝึกอบรมในคดีนี้

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีก่อนที่ศาลรอการกำหนดโทษไว้ตามฟ้องโจทก์จริง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ขณะกระทำความผิด จำเลยอายุ 16 ปีเศษลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุก 2 ปี จำเลยกระทำความผิดนี้ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นรอการกำหนดโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 212/2537 อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 จึงกำหนดโทษในคดีอาญาดังกล่าวบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ ขณะกระทำความผิดในคดีดังกล่าวจำเลยอายุ 15 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือนรวมจำคุก 2 ปี 6 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104(2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี 6 เดือน ขั้นสูง 2 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2539 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยกับนายพรชัย วิมลศรี ได้พานางสาวมายวี ไพเมือง ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษ และนางสาววาสนา ชายหมัดเพื่อนผู้เยาว์ไปที่บ้านนายสัญญา นาคเวช แล้วไปต่อที่บ้านพี่สาวนายพรชัย และได้นอนค้างคืนกันที่บ้านดังกล่าว โดยจำเลยนอนเตียงเดียวกับผู้เยาว์ วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ13 นาฬิกา นางสุดา สันหลี อาผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้ปกครองและผู้ดูแลผู้เยาว์ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่บ้านพี่สาวนายพรชัย

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า นายพรชัย วิมลศรี เป็นผู้ชักชวนนางสาวมายวี ไพเมือง ผู้เยาว์และจำเลยไปบ้านนายสัญญาแล้วเลยไปที่บ้านพี่สาวนายพรชัยโดยที่ผู้เยาว์และจำเลยต่างเต็มใจไปกับนายพรชัย จำเลยจึงมิได้เป็นผู้กระทำผิดคดีนี้ นายพรชัยต่างหากเป็นผู้กระทำผิดและจำเลยไม่ได้ล่วงเกินทางเพศต่อผู้เยาว์เลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำอันไม่สมควรในทางเพศนั้นในปัญหานี้นางสาวมายวี ไพเมือง ผู้เยาว์และนางสาววาสนา ชายหมัด พยานโจทก์ทั้งสองต่างเบิกความตรงกันว่า วันเกิดเหตุเวลา 12 นาฬิกา ขณะที่ผู้เยาว์และนางสาววาสนาอยู่ที่บ้านนางสาววรรณาเพื่อนผู้เยาว์และนางสาววาสนาจำเลยและนายพรชัยได้ชวนผู้เยาว์และนางสาววาสนาไปที่บ้านนายสัญญาผู้เยาว์และนางสาววาสนาตกลงไปด้วยแต่ได้ขอให้จำเลยกับนายพรชัยมาส่งที่บ้านนางสาววรรณาก่อนเวลา 15 นาฬิกาด้วย เมื่อผู้เยาว์และนางสาววาสนาไปที่บ้านนายสัญญากับจำเลยและนายพรชัยแล้วได้อยู่ที่บ้านดังกล่าวสักครู่หนึ่งนายพรชัยชวนผู้เยาว์ นางสาววาสนา และจำเลยไปที่บ้านนายพรชัย ระหว่างทางรถจักรยานยนต์ของนายพรชัยยางแตก นายพรชัยจึงพาไปที่บ้านพี่สาวนายพรชัยและอยู่ที่บ้านนั้นจนเวลาประมาณ 14.30 นาฬิกา จำเลยกับนายพรชัยก็ไม่ยอมไปส่งผู้เยาว์กลับอ้างว่าจำเส้นทางไม่ได้ ทำให้ผู้เยาว์และนางสาววาสนาต้องนอนค้างคืนที่บ้านพี่สาวนายพรชัย โดยจำเลยนอนเตียงเดียวกับผู้เยาว์นอกห้อง ส่วนนางสาววาสนานอนเตียงเดียวกับนายพรชัยและนายสัญญาในห้อง วันรุ่งขึ้นจำเลยและนายพรชัยก็ยังไม่ยอมไปส่งผู้เยาว์กลับบ้าน จนเวลาประมาณ 13 นาฬิกา นางสุดา สันหลี ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและนายพรชัยในข้อหาพรากผู้เยาว์ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าว แสดงว่า จำเลยได้พรากผู้เยาว์ไปจากนางสุดาผู้ปกครองและผู้ดูแลแล้ว เพราะเมื่อผู้เยาว์ขอให้จำเลยไปส่งผู้เยาว์ไปที่บ้านนางสาววรรณา จำเลยก็ควรไปส่งผู้เยาว์ตามที่ผู้เยาว์ร้องขอ การที่จำเลยไม่ยอมไปส่งผู้เยาว์กลับไปที่บ้านนางสาววรรณาและให้ผู้เยาว์นอนค้างคืนที่บ้านพี่สาวนายพรชัย ดังนี้ หากจำเลยไม่มีเจตนาเพื่อการอนาจารแล้ว จำเลยก็ควรให้ผู้เยาว์นอนกับนางสาววาสนาในห้อง ส่วนจำเลยกับพวกนอนนอกห้องการที่จำเลยให้ผู้เยาว์นอนเตียงเดียวกับจำเลยตลอดทั้งคืนที่นอกห้องดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยต้องการนอนกับผู้เยาว์ตามลำพัง เป็นการกระทำอันไม่สมควรในทางเพศ พฤติการณ์ดังกล่าวส่อแสดงว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก

พิพากษายืน

Share