คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5619/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้คนร้าย 4 คน ได้พาผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปข่มขืนกระทำชำเรา หลังจากนั้นคนร้าย 2 คน ได้พาผู้เสียหายนั่งรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องพักของจำเลย แล้วคนร้าย 2 คนนั้นได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกรอบ จากนั้นจึงให้จำเลยมาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการที่คนร้าย 4 คน ได้พรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตั้งแต่แรกแต่ประการใด จำเลยเป็นเพียงเจ้าของห้องพักที่เกิดเหตุซึ่งยินยอมให้พวกนำผู้เสียหายมาใช้ห้องพักเป็นสถานที่หลับนอนและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยมิได้มีการพรากผู้เสียหายไปยังที่อื่นๆ อีก จำเลยจึงมิใช่ตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนในความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 317,310
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม 317 วรรคสาม 310 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงโดยเด็กหญิงไม่ยินยอม ให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจารให้ลงโทษจำคุก 8 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงโดยเด็กหญิงไม่ยินยอม จำนวน 25 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร จำนวน 4 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น จำนวน 3 เดือน รวมจำคุก 29 ปี 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 คงจำคุกจำเลย 25 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยกระทำผิดฐานร่วมกับพวกพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า หลังจากคนร้าย 4 คน ได้บังคับเอาตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราที่บริเวณบ่อปลาอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี แล้วคนร้ายได้พาผู้เสียหายไปยังบ้านที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ ขณะไปถึงเป็นเวลาดึกมากแล้ว บุคคลทั่วไปต้องหลับนอนแล้ว แต่จำเลยยังรออยู่มิได้หลับนอนแต่ประการใดทั้งจำเลยยังยินยอมให้คนร้ายนำเอาตัวผู้เสียหายเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราในลักษณะโทรมหญิงในบ้านของจำเลย และจำเลยเองก็ได้เข้าร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับคนร้ายกระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตามฟ้องโจทก์แล้ว เห็นว่า ตามพยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับปัญหานี้ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากคนร้าย 4 คน ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่บริเวณริมบ่อน้ำแล้ว คนร้าย 2 คน ได้พาผู้เสียหายนั่งรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านหลังหนึ่งอยู่แถวอำเภอปากเกร็ด เมื่อมาถึงบ้านที่อำเภอปากเกร็ด พบนายไผ่และจำเลย นายไผ่และจำเลยจะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่คนร้าย 2 คน ที่พาผู้เสียหายมาได้ไล่ให้นายไผ่และจำเลยออกไปก่อน แล้วคนร้าย 2 คนนั้นได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกรอบ จากนั้นจึงให้นายไผ่และจำเลยมาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ผู้เสียหายนอนอยู่กับนายไผ่และจำเลยจนถึงเช้า ในตอนเช้าคนร้ายหนึ่งในสองคน คือ นายประกิจ (ทราบชื่อภายหลัง) ที่ลักพาตัวผู้เสียหายมาตั้งแต่แรกจะพาผู้เสียหายไปส่งบ้าน แต่ผู้เสียหายไม่ไปอ้างว่าเพลีย ผู้เสียหายจึงนอนอยู่ในห้องจนกระทั่งบ่ายนายประกิจได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีก 1 ครั้ง แล้วจึงพาผู้เสียหายไปส่งกลับ นอกจากคำเบิกความของผู้เสียหายแล้ว โจทก์ยังมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายไผ่และจำเลย ข้อเท็จจริงทั้งหมดจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการที่คนร้าย 4 คน ได้พรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตั้งแต่แรกแต่ประการใด จำเลยเป็นเพียงเจ้าของห้องพักที่เกิดเหตุซึ่งยินยอมให้นายประกิจและพวกนำตัวผู้เสียหายเข้ามาใช้ห้องพักเป็นสถานที่หลับนอนและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเท่านั้น โดยมิได้มีการพรากผู้เสียหายต่อไปยังที่อื่นๆ อีก การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุนนายประกิจและพวกพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share