คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าหนังสือสัญญายืมเงินที่โจทก์ฟ้องเป็นเอกสารปลอมบางส่วนคือส่วนที่ระบุจำนวนเงินที่กู้ยืมนั้น จำเลยย่อมมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างของตนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย รูปคดีหาใช่เป็นเรื่องสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารอันต้องห้ามตามมาตรา94 วรรค(ข) ไม่

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้เป็นมูลกรณีเดียวกับนายสวัสดิ์ฟ้องนางเสมว่าทำหนังสือสัญญายืมเงินไป 6,000 บาท เมื่อ 20 เมษายน 2495 แล้วไม่ชำระขอให้บังคับ นางเสมให้การปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญายืมตามฟ้องและว่าได้เคยยืมเงินนายสวัสดิ์ครั้งหนึ่งเมื่อเดือน 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 เป็นเงิน 900 บาท แต่ได้ชำระต้นเงินดอกเบี้ยแล้วรวม 1,200 บาท นายสวัสดิ์ไม่คืนหนังสือสัญญาให้ นางเสมจึงฟ้องในสำนวนหลังว่าได้พิมพ์ลายมือในสัญญากู้ให้นายสวัสดิ์ไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความเชื่อว่าเป็นฉบับที่นายสวัสดิ์ฟ้อง โดยนายสวัสดิ์จัดให้มีพยานกรอกข้อความจำนวนเงินเกินความจริง จึงขอให้ศาลแสดงว่าสัญญายืมนั้นเป็นโมฆะ นายสวัสดิ์ปฏิเสธและต่อสู้ตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อกฎหมายว่านางเสมนำสืบเพื่อหักล้างสัญญาทั้งฉบับได้ ไม่ใช่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร แล้วพิพากษาให้ยกฟ้องของนายสวัสดิ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

นายสวัสดิ์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ฝ่ายนางเสมอ้างว่าเอกสารที่นายสวัสดิ์นำมาแสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมบางส่วนคือส่วนที่ระบุจำนวนเงินที่กู้ยืมนั้น ดังนี้นางเสมจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างของตนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้ายรูปคดีหาใช่เป็นเรื่องสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตามความในมาตรา 94 วรรค (ข) ไม่

พิพากษายืน

Share