คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7128/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทรัพย์จำนองถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นนำยึดออกขายทอดตลาดโดยติดจำนอง จำเลยเป็นผู้ซื้อทรัพย์ติดจำนองดังกล่าว ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องบังคับให้ชำระหนี้จำนองศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดโจทก์มิได้บังคับคดีจนล่วงเลย 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์ย่อมสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 แต่การจำนองหาระงับสิ้นไปไม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 (1) (3) เพราะมิใช่กรณีหนี้ประกันระงับสิ้นไปด้วยเหตุประการอื่นใดมิใช่เหตุอายุความหรือผู้จำนองหลุดพ้น การจำนองจึงยังมีอยู่โจทก์จึงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์จำนอง แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/27 และมาตรา 745 เมื่อจำเลยซื้อทรัพย์ติดจำนอง โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับจำนองแก่จำเลยจากทรัพย์นั้นได้ และตาม ป.พ.พ. มาตรา 715 บัญญัติให้ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์ต่อไปนี้ด้วย คือ (1) ดอกเบี้ย (2) ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ (3) ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในการบังคับจำนองได้ เมื่อหนังสือสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองมีข้อตกลงว่าผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในการบังคับจำนองทรัพย์พิพาทได้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญาจำนองได้ แม้จำเลยไม่ใช่ผู้กู้และมิได้เป็นคู่สัญญาจำนองกับโจทก์ก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,935,239.20 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 557,580.65 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,915,605.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 557,580.65 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 27 ธันวาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18966 ตำบลบางด้วน (บางจากฝั่งเหนือ) อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 577,580.65 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2540 จนกว่าชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ.2496 มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นายเสรีกับนางนันทนา ทำสัญญากู้เงินโจทก์ 530,000 บาท ตกลงผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือน กำหนดชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 18966 ตำบลบางด้วน (บางจากฝั่งเหนือ) อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันในวงเงิน 530,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามหนังสือสัญญากู้เงินและหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน ต่อมานายเสรีกับนางนันทนาผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินกู้และบังคับจำนอง ศาลมีคำพิพากษาให้นายเสรีและนางนันทนาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 8520/2534 ของศาลแพ่ง แต่โจทก์ยังมิได้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ปรากฏว่านายกวีหรือจักรี โจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 3208/2529 ของศาลชั้นต้น ซึ่งฟ้องนายเสรีเป็นจำเลยได้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด และจำเลยเป็นผู้ซื้อได้แบบติดจำนอง โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยแต่ไม่สามารถส่งได้ จึงส่งโดยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองทรัพย์พิพาทหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่า โจทก์มิได้บังคับคดีต่อทรัพย์พิพาทตามคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 8520/2534 ภายใน 10 ปี หนี้จำนองเป็นอันระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 (1) (3) เห็นว่า แม้ศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนายเสรีและนางนันทนาตามคดีหมายเลขแดงที่ 8520/2534 ของศาลแพ่ง และคดีถึงที่สุดแล้วและโจทก์มิได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจนล่วงพ้นระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์ย่อมสิ้นสิทธิที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้อีกต่อไปก็ตาม แต่การจำนองยังไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 (1) (3) ดังที่จำเลยอ้าง เพราะไม่ใช่กรณีหนี้ที่ประกันระงับสิ้นไปด้วยเหตุประการอื่นใดมิใช่เหตุอายุความ หรือผู้จำนองหลุดพ้น การจำนองทรัพย์พิพาทจึงยังคงมีอยู่ และโจทก์ยังคงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองตามกฎหมาย ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 และ 745 บัญญัติให้ผู้รับจำนองยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองแม้เมื่อหนี้ประธานหรือหนี้ที่ประกันนั้นขาดอายุความแล้วได้ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนอง เมื่อจำเลยซื้อทรัพย์พิพาทซึ่งติดจำนองมาจากการขายทอดตลาดในคดีหมายเลขแดงที่ 3208/2529 ของศาลชั้นต้น จำเลยจึงเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง โจทก์ผู้ทรงสิทธิจำนองย่อมมีสิทธิที่จะบังคับจำนองเอาแก่ตัวทรัพย์นั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองทรัพย์พิพาทจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อสุดท้ายว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้หรือไม่ เพียงใด โดยจำเลยอ้างว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยโดยมิชอบ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยไม่เกินอัตราร้อยละ 12 ต่อปี เห็นว่า การบังคับจำนองเป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนอง และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 บัญญัติว่า “ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์ต่อไปนี้ด้วย คือ (1) ดอกเบี้ย (2) ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ (3) ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง” ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในการบังคับจำนองทรัพย์พิพาทได้ แม้หนี้ตามหนังสือสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับนายเสรีและนางนันทนาอันเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ และในเบื้องต้นโจทก์คิดดอกเบี้ยจากนายเสรีและนางนันทนาเพียงอัตราร้อยละ 12 ต่อปีก็ตาม แต่ตามหนังสือสัญญากู้เงินและหนังสือสัญญาจำนองที่ดินมีข้อตกลงว่า ผู้กู้และผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ แม้จำเลยไม่ใช่เป็นผู้กู้และมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในการบังคับจำนองทรัพย์พิพาทได้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญาจำนอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากการบังคับจำนองทรัพย์พิพาทได้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง จำเลยเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินที่จำนองซึ่งมีหน้าที่เพียงปลดเปลื้องภาระจำนองด้วยการไถ่ถอนจำนองตามบทบัญญัติในบรรพ 3 ลักษณะ 12 หมวด 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น ดังนั้น จำเลยจึงไม่ต้องชำระหนี้ตามสัญญาจำนองแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ไม่ชอบ กรณีเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247 นอกจากนี้จำนวนต้นเงินตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พิมพ์ผิดพลาดจากจำนวน 557,580.65 บาท เป็นจำนวน 577,580.65 บาท จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 18966 ตำบลบางด้วน (บางจากฝั่งเหนือ) อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระแก่โจทก์จำนวน 557,580.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ เงินสุทธิที่เหลือให้คืนแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กับให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 3,000 บาท

Share