แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์และบิดาโจทก์ได้ร่วมกันเช่าที่พิพาทมาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจำเลยไม่ได้เช่าช่วงที่พิพาทจากบิดาโจทก์ บิดาโจทก์ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าให้จำเลยอาศัย โจทก์ไม่ได้ทักท้วงต้องถือว่าโจทก์ยินยอมด้วย ต่อมาบิดาโจทก์ตายโจทก์ได้บอกให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของบิดาโจทก์ๆก็ฟ้องขับไล่จำเลยได้ เพราะจำเลยอยู่ในฐานะอาศัยโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เช่าที่ดินตำบลรองเมือง จังหวัดพระนครจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับนายใช้บิดาโจทก์ ต่อมาจำเลยได้ขออาศัยบิดาโจทก์ปลูกอาคารอาศัย แต่กลับปลูกห้องแถวทำการค้าต่อมาบิดาโจทก์ตาย โจทก์แจ้งให้จำเลยเลิกอาศัยและรื้อสิ่งปลูกสร้างจำเลยขัดขืน จึงขอให้ขับไล่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
จำเลยสู้ว่าโจทก์และบิดาโจทก์ให้จำเลยเช่าช่วงและตัดฟ้องว่าจำเลยมีสัญญาเช่ากับบิดาโจทก์ส่วนหนึ่ง โจทก์ไม่ใช่ผู้จัดการมรดกที่ชอบ จึงไม่มีอำนาจจัดการทรัพย์มรดกและไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกร้องค่าเสียหาย ทั้งจำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมาและค่าเสียหายมากเกินไป จำเลยไม่เคยได้รับบอกกล่าวเลิกการเช่าจากบิดาโจทก์หรือโจทก์เลย
ศาลแพ่งฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้เช่าที่พิพาทจากบิดาโจทก์เพียงแต่ขออาศัยอยู่และโจทก์ได้บอกเลิกการอาศัยให้จำเลยทราบแล้ว ส่วนข้อกฎหมายเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ จึงพิพากษาให้ขับไล่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตลอดจนใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เท่านั้น
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังตามศาลแพ่งมามีใจความว่า โจทก์และบิดาโจทก์ได้ร่วมกันเช่าที่พิพาทจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจำเลยไม่ได้เช่าช่วงที่พิพาทจากบิดาโจทก์ ๆ ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยอาศัย โจทก์ไม่ทักท้วงต้องถือว่าโจทก์ยินยอมด้วย ต่อมาบิดาโจทก์ตาย โจทก์ได้บอกให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของบิดาโจทก์ก็ยังไม่เห็นมีเหตุอย่างใดที่โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะจำเลยอยู่ในฐานะอาศัยโจทก์ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน ให้จำเลยเสียค่าทนายแทนโจทก์ 100 บาท