คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และคงเป็นสามีภรรยากันตลอดมาจนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้วในชั้นหลังนี้เมื่อมีปัญหาว่าสามีภรรยาจะขาดจากกันหรือไม่ย่อมจะต้องใช้กฎหมายที่มีอยู่ในขณะที่เหตุที่อ้างนั้นเกิดขึ้นบังคับแก่กรณีคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จะใช้กฎหมายเก่าหาได้ไม่

ย่อยาว

กรณีมีว่า นางสำริต จำเลยเป็นบุตรนางเปลื้อง นายหมง เมื่อนายหมงตายแล้วนางเปลื้องมาได้โจทก์เป็นสามีเมื่อสัก 30 ปีมานี้ต่อมาราว พ.ศ. 2485โจทก์ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ พ.ศ. 2493 นางเปลื้องตาย นางสำริต จำเลยเข้ารับมรดก โจทก์จึงสึกออกมาคัดค้าน แต่แล้วตกลงกันได้โจทก์ก็กลับไปบวชตลอดมาจนบัดนี้ แต่แล้วเกิดขัดแย้งกันขึ้นอีก โจทก์จึงฟ้องเรียกทรัพย์หลายอย่างโดยอ้างว่าเป็นสินเดิมและสินสมรสของโจทก์บ้าง เป็นมรดกนางเปลื้องที่ตกได้แก่โจทก์บ้าง

จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องเว้นแต่อันดับ 2 ที่บ้านโฉนดที่ 6675 เป็นมรดกของนางเปลื้อง โจทก์มิได้ลาบวชออกมารับมรดกภายในอายุความจึงหมดสิทธิ แต่ทรัพย์อันดับ 2 เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางเปลื้องพิพากษาให้แบ่งให้โจทก์ 2 ส่วน

โจทก์พอใจตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์คดีคงมีปัญหาเพียงว่าทรัพย์อันดับ 2 เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางเปลื้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไปบวชเมื่อภายหลังใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว จึงยังไม่ขาดจากการเป็นสามีภรรยากันทรัพย์อันดับ2 เป็นสินสมรส พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ออกใช้บังคับนั้นโจทก์กับนางเปลื้องยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ การที่โจทก์บวชเมื่อพ.ศ. 2485 ต้องใช้ กฎหมายที่มีอยู่ในขณะนั้นบังคับแก่กรณี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 การบวชหาทำให้การสมรสขาดจากกันไม่ ไม่มีทางจะถือว่าทรัพย์อันดับ 2 เป็นสินส่วนตัวของนางเปลื้องได้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน

Share