แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์คดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ผู้ร้องเคยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในคดีก่อน เมื่อศาลชั้นต้นในคดีก่อนมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยระบุชัดว่าเป็นที่ดินส่วนใต้สุดมุมตะวันตก จึงเป็นการรับรองว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา จำนวนเนื้อที่ตามที่ศาลชั้นต้นระบุนั้นเป็นเพียงการกะประมาณเท่านั้น มิได้กำหนดไว้เป็นจำนวนแน่นอนแต่อย่างใด ภายหลังปรากฏจากการรังวัดว่าที่ดินเฉพาะส่วนตามที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองนั้นมีเนื้อที่ถึง 240 ตารางวา ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวทั้งหมดรวมถึงที่ดินพิพาท 40 ตารางวาด้วย ผู้ร้องชอบที่จะดำเนินการบังคับเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเนื้อที่ 40 ตารางวาดังกล่าวในคดีก่อน การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการรื้อร้องเพื่อให้ศาลวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน ซึ่งศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 40 ตารางวาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1924 โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 10 ปี ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดออกโฉนดให้แก่ผู้ร้องด้วย
ผู้คัดค้านทั้งสี่ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทไม่ครบ 10 ปี ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นการยื่นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดียวกันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ยกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ผู้คัดค้านทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสี่มิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอและศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนที่ครอบครองคือที่ดินส่วนใต้สุดมุมตะวันตก เนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวาของที่ดินโฉนดเลขที่ 1924 ตำบลบางไผ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 380/2525 ของศาลชั้นต้น หลังจากนั้นผู้ร้องนำคำสั่งศาลชั้นต้นไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินตามที่ผู้ร้องครอบครองมีเนื้อที่ 240 ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินทำหนังสือสอบถามไปยังศาลชั้นต้นว่าจะให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนดังกล่าวตามที่รังวัดได้เป็นเนื้อที่ 240 ตารางวาแก่ผู้ร้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นทำหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบว่า กรณียังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ที่ดินส่วนที่เกินจำนวน40 ตารางวา เป็นส่วนที่ผู้ร้องครอบครองหรือไม่ จึงไม่อาจสั่งให้จดทะเบียนส่วนที่เกินแก่ผู้ร้อง ตามหนังสือของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2532 เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่เกินดังกล่าวให้ผู้ร้อง ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2536 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึงเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินเฉพาะส่วนที่ผู้ร้องครอบครองตามผลการรังวัดเป็นเนื้อที่ 240ตารางวาแก่ผู้ร้อง แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องประสงค์ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองเป็นเนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 40 ตารางวา ผู้ร้องต้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคดีใหม่ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้ คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสี่ว่า ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 380/2525 ของศาลชั้นต้นต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของผู้ร้องตอบทนายผู้คัดค้านถามค้านว่า ที่ดินพิพาทคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ผู้ร้องเคยร้องขอครอบครองปรปักษ์ในคดีก่อนเมื่อปี 2525 และเมื่อพิจารณาสภาพที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องขอหมายเลข 3 และแผนที่วิวาทหมาย ร.13 เปรียบเทียบกับที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องขอหมายเลข 7 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 380/2525 ของศาลชั้นต้น เห็นได้ว่า ที่ดินดังกล่าวมีรูปลักษณะอย่างเดียวกัน โดยเฉพาะที่ดินส่วนใต้สุดมุมตะวันตกของที่ดินพิพาทคดีนี้กับของที่ดินในคดีดังกล่าวมีสภาพเหมือนกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์คดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ผู้ร้องเคยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 380/2525 ของศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยระบุชัดว่าเป็นที่ดินส่วนใต้สุดมุมตะวันตก จึงเป็นการรับรองว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา จำนวนเนื้อที่ตามที่ศาลชั้นต้นระบุนั้นเป็นเพียงการกะประมาณเท่านั้นมิได้กำหนดไว้เป็นจำนวนแน่นอนแต่อย่างใด ภายหลังปรากฏแน่ชัดจากการรังวัดว่าที่ดินเฉพาะส่วนตามที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองนั้น มีเนื้อที่ถึง 240 ตารางวา ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวทั้งหมดซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาท 40 ตารางวาด้วย ชอบที่ผู้ร้องต้องไปดำเนินการบังคับเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเนื้อที่ 40 ตารางวาดังกล่าว ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 380/2525 ของศาลชั้นต้น การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการรื้อร้องเพื่อให้ศาลวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนซึ่งศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ กรณีนี้เมื่อเป็นฟ้องซ้ำแล้วที่ผู้คัดค้านทั้งสี่ฎีกาว่า คำร้องขอของผู้ร้องเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อนนั้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสี่ฟังขึ้นในส่วนที่ไม่สามารถนำมาร้องเป็นคดีใหม่”
พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอ