คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3938/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานตำรวจไปยึดรถยนต์พิพาทไว้เป็นของกลางก็เพราะมีมูลเหตุเกิดจากพฤติการณ์ที่ ว. หลอกลวงซื้อรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์แล้วไปขายต่อให้บุคคลภายนอกโดยไม่นำเงินค่ารถไปชำระแก่โจทก์ ซึ่งเป็นเหตุอันควรสงสัยว่ารถยนต์พิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือ ว. การร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ ว. ถือได้ว่าเป็นสิทธิของโจทก์ในฐานะประชาชนที่จะกระทำได้โดยชอบธรรมไม่เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้มีการทำละเมิดกฎหมายอันจะเกิดแก่โจทก์ และการที่เจ้าพนักงานตำรวจไปยึดรถยนต์พิพาทมาเป็นของกลาง แม้จะทำให้จำเลยได้รับความเสียหายแต่ก็เป็นดุลพินิจและอำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินคดีแก่ ว. ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายให้อำนาจไว้พฤติการณ์แห่งคดียังไม่ถึงขนาดที่จะรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อ หรือมีเจตนาจงใจกลั่นแกล้งโดยมุ่งประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยฝ่ายเดียว การกระทำดังกล่าวของโจทก์จึงไม่เป็นการละเมิดต่อจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้นำรถยนต์ของโจทก์ที่จำเลยซื้อมาจากผู้อื่น เปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในเอกสารการจดทะเบียนรถยนต์ต่อเจ้าพนักงาน โดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยได้ซื้อรถยนต์ดังกล่าวจากโจทก์โดยตรงเป็นเงิน 500,000 บาท เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงได้เปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นชื่อของจำเลย โจทก์พาเจ้าพนักงานตำรวจไปนำรถยนต์ของโจทก์ไปเก็บรักษาไว้ที่สถานีตำรวจภูธร อำเภอประโคนชัย และแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามบันทึกที่จำเลยทำไว้ต่อเจ้าพนักงาน แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม ภายหลังจำเลยได้รับรถยนต์คืนไป โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวคืนโจทก์พร้อมกับเปลี่ยนชื่อกรรมสิทธิ์ในทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อโจทก์ โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หรือให้จำเลยใช้เงิน 550,000 บาท และให้ใช้ค่าเสื่อมราคารถยนต์100,000 บาท กับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ 62,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จและให้ใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์วันละ 300 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ได้ทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด จำเลยชำระราคารถยนต์ให้ผู้ขายครบถ้วนและได้รับมอบรถยนต์พิพาทมาใช้ตั้งแต่วันนั้น ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงิน 851,025 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงิน312,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย

ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนายสุรินทร์ ดลเฉลิมพรรคและนางสาวเพ็ญพร ดลเฉลิมพรรค เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตโดยเรียกนายสุรินทร์ว่า จำเลยร่วมที่ 1 และเรียกนางสาวเพ็ญพรว่า จำเลยร่วมที่ 2

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งจำเลยมิได้ซื้อขายรถยนต์พิพาทโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้องแย้ง

จำเลยร่วมทั้งสองให้การว่า โจทก์ขายรถยนต์พิพาทให้นายวิบูลย์ ตั้งใจงามสง่าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่วันที่โจทก์ตกลงขายส่งมอบรถยนต์และลงชื่อโอนในหลักฐานทางทะเบียนให้แก่นายวิบูลย์แล้ว โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเมื่อเกินกว่า 1 ปีฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งจำเลย

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์ทำละเมิดต่อจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากพันตำรวจโทณรงค์ เจริญลาภ พยานโจทก์ว่าขณะที่พยานเป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวนอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอประโคนชัยจังหวัดบุรีรัมย์นั้นโจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพันตำรวจโทนิพนธ์ รังสีปัญญา ว่าถูกนายวิบูลย์ฉ้อโกงรถยนต์พิพาท ภายหลังรับแจ้งความแล้วได้แจ้งข้อหานายวิบูลย์ว่าฉ้อโกงระหว่างสอบสวนเพื่อดำเนินคดีเจ้าพนักงานตำรวจได้ไปยึดรถยนต์พิพาทมาจากจำเลยและเก็บรักษาไว้เป็นของกลาง ต่อมาโจทก์และจำเลยต่างติดต่อขอรถยนต์พิพาทคืน พยานได้คืนรถยนต์พิพาทให้จำเลย รายละเอียดปรากฏตามบันทึกการรับมอบรถยนต์ของกลางเอกสารหมาย ล.19 รวมเวลาที่ยึดรถยนต์พิพาทไว้เป็นของกลาง 108 วัน มีข้อวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เพียงใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานตำรวจไปทำการยึดรถยนต์พิพาทไว้เป็นของกลางก็เพราะมีมูลเหตุเกิดจากพฤติการณ์ที่นายวิบูลย์หลอกลวงซื้อรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ แล้วไปขายต่อให้บุคคลภายนอกโดยไม่นำเงินค่ารถไปชำระแก่โจทก์ ซึ่งเป็นเหตุอันควรสงสัยว่ารถยนต์พิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือนายวิบูลย์ การร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่นายวิบูลย์ ถือได้ว่าเป็นสิทธิของโจทก์ในฐานะประชาชนที่จะกระทำได้โดยชอบธรรมไม่เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำการละเมิดกฎหมายอันจะเกิดแก่โจทก์และการที่เจ้าพนักงานตำรวจไปยึดรถยนต์พิพาทมาเป็นของกลางในระหว่างคดี แม้การกระทำดังกล่าวจะทำให้จำเลยได้รับความเสียหายก็เป็นดุลพินิจ และอำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินคดีแก่นายวิบูลย์ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายให้อำนาจไว้ พฤติการณ์แห่งคดียังไม่ถึงขนาดที่จะรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อ หรือมีเจตนาจงใจกลั่นแกล้งโดยมุ่งประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยฝ่ายเดียวจึงหาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่…”

พิพากษายืน

Share