คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4037/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความเสียหายของรถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วง 4 คัน เกิดขึ้นในขณะที่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 กำลังยกแท่นไฮดรอลิกเพื่อเทน้ำตาลดิบออกจากรถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงซึ่งจอดอยู่บนแท่นไฮดรอลิกนั้นลงฉางเก็บโดยแท่นไฮดรอลิกดังกล่าวเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้มีไว้ในครอบครองจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดขึ้นแต่ทรัพย์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้เสียหายนั้นเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบว่า เหตุที่เกิดความเสียหายสืบเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยที่ 1
ขณะเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกน้ำตาลดิบมาจากจังหวัดอุดรธานี ระหว่างการเดินทางน้ำตาลมีความชื้นสูงจึงเกาะกันแน่น ซึ่งก่อนเทมิได้มีการทำให้น้ำตาลแตกตัวทั้งหมดก่อนที่จะยกแท่นไฮดรอลิกขึ้นเทแต่อย่างใด น้ำตาลดิบที่ยังคงมีสภาพเกาะกันแน่นย่อมทำให้น้ำหนักเฉลี่ยไม่สม่ำเสมอ เมื่อถ่ายน้ำหนักออกจากรถพ่วงทันทีทันใดย่อมทำให้แหนบรถเกิดแรงต้านดีดตัวรถให้ลอยขึ้นข้ามที่กั้นล้อแล้วดึงโซ่ที่มัดคานหน้าไว้ขาดก่อนที่จะไหลลงมากระโดดข้ามที่กั้นล้อทุกล้อ ทำให้รถยนต์บรรทุกและรถพ่วงที่บรรทุกน้ำตาลมาไหลชนรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงคันอื่นได้รับความเสียหาย ซึ่งมิใช่ความเสียหายที่เกิดจากเหตุสุดวิสัย เพราะจำเลยที่ 1 อาจป้องกันได้โดยทำให้น้ำตาลแตกตัวเสียก่อนที่จะนำรถขึ้นแท่นไฮดรอลิก จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 และจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยก็ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงคันที่ได้รับความเสียหายและได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าซ่อมแซมรถที่เสียหายนั้นไปแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนที่ประเทศญี่ปุ่น ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการประกันภัย มีสำนักงานสาขาและได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทย โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0501 อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0502อุดรธานี และรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0497 อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0498 อุดรธานีจากบริษัทอุดรวัฒนา (2520) จำกัด จำเลยทั้งสองเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันวินาศภัยทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และบุคคลภายนอกที่อยู่ในบริเวณที่ตั้งของฉางเก็บน้ำตาลดิบของจำเลยที่ 1 ไว้กับจำเลยที่ 2เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2536 นายเสถียร ศรีจอมพล ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0501 อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0502 อุดรธานี บรรทุกน้ำตาลดิบมาที่ฉางเก็บน้ำตาลดิบของจำเลยที่ 1 แล้วขึ้นแท่นไฮดรอลิกยกเทน้ำตาลดิบ ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เป็นผู้บังคับเครื่องไฮดรอลิกดังกล่าวด้วยความประมาทเลินเล่อในการบังคับเครื่องไฮดรอลิก เทน้ำตาลดิบจากรถดังกล่าวด้วยความเร็ว ทำให้การถ่ายเทน้ำหนักของน้ำตาลดิบไม่สมดุลกับน้ำตาลดิบที่ยังอยู่ในรถ และไม่ได้ตรวจสอบดูสภาพตะขอเกี่ยวตัวรถกับคานของไซโลว่าอยู่ในสภาพใช้การได้ดีหรือไม่ เป็นเหตุให้ตาขอเกี่ยวตัวรถกับคานของไซโลขาด รถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงดังกล่าวไหลไปชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน70-0497 อุดรธานี และรถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0498 อุดรธานี ทำให้รถยนต์ทั้งสี่คันได้รับความเสียหาย โจทก์นำรถดังกล่าวไปซ่อมแซมให้มีสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 347,031.31 บาท จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้าง จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยร่วมกันชำระหนี้จำนวน 347,031.31 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 24สิงหาคม 2536 อันเป็นวันที่โจทก์ชำระค่าเสียหายครั้งสุดท้ายจนถึงวันฟ้อง ดอกเบี้ยเป็นเงิน 15,182 บาท รวมเป็นเงิน 362,443.31 บาท (ที่ถูกน่าจะเป็น 362,213.31 บาท)ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 362,443.31 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 347,031.31 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า เหตุละเมิดเกิดจากอุปกรณ์ของรถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงดังกล่าวไม่ได้มาตรฐานชำรุดบกพร่องเสื่อมสภาพ ทำให้ขณะที่น้ำตาลดิบ ในรถลากพ่วงดังกล่าวไหลลงสู่ฉางเก็บ แหนบซึ่งเป็นอุปกรณ์ยึดและรองรับรถเกิดแรงต้านดีดตัวรถให้ลอยข้ามที่กั้นล้อดึงโซ่ที่มัดคานหน้ารถขาดเคลื่อนข้ามที่กั้นล้อไหลไปชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0497 อุดรธานี รถลากพ่วง หมายเลขทะเบียน 70-0489 อุดรธานีได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 และลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายก่อให้เกิดเหตุละเมิด จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง หากจำเลยที่ 1ต้องรับผิดค่าเสียหายก็ไม่เกิน 100,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์จดทะเบียนที่ประเทศญี่ปุ่นแต่ไม่ได้แสดงหลักฐานการจดทะเบียนและอำนาจกรรมการของโจทก์ หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย นายโคเรทาคะ อิโนอุเอะ จึงไม่มีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 2 รับประกันวินาศภัยทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เฉพาะความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่เข้ามาภายในบริเวณ “ไซโลมาบุญครอง” อันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อหรือละเลยของจำเลยที่ 1 หรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยานพาหนะที่มาติดต่อหรือรอขนถ่ายสินค้า หรือจอดอยู่ในบริเวณของจำเลยที่ 1 เหตุละเมิดเกิดจากรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0501อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0502 อุดรธานี บรรทุกน้ำตาลดิบมาเกินอัตราน้ำตาลดิบมีความชื้นสูงจับตัวเป็นก้อน ขณะที่เครื่องไฮดรอลิกกำลังยกเท น้ำตาลดิบไหลลงสู่ฉางเก็บด้วยความเร็วผิดปกติเนื่องจากน้ำตาลมีจำนวนมาก เป็นเหตุให้แหนบของรถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงดังกล่าวเกิดแรงต้านดีดตัวรถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงกะทันหันกระชากโซ่ที่มัดคานหน้ารถยนต์บรรทุกขาด เหตุละเมิดมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 หรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดโจทก์มิได้รับความเสียหายตามฟ้อง หากจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดก็ไม่เกิน 100,000 บาทขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 310,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 15,182 บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการประกันวินาศภัยจดทะเบียน ณ ประเทศญี่ปุ่น และมีสำนักงานสาขาในประเทศไทยโดยได้รับอนุญาตจากกรมประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ ให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทยได้ โจทก์มอบอำนาจให้นายโคเรทาคะ อิโนอุเอะ เป็นผู้จัดการสาขา มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และมอบอำนาจช่วงได้ โจทก์โดยนายโคเรทาคะมอบอำนาจช่วงให้นายจิระวัฎ ศิริสุขะ เป็นผู้ฟ้องคดีนี้โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0501 อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0502 อุดรธานี และรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0497อุดรธานี รถลากพ่วง หมายเลขทะเบียน 70-0498 อุดรธานี จากบริษัทอุดรวัฒนา (2520)จำกัด จำเลยทั้งสองเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2536เวลา 8.45 นาฬิกา รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0501 อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0502 อุดรธานี เข้าจอดที่แท่นไฮดรอลิกซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครอง ที่อยู่ในบริเวณฉางเก็บน้ำตาลดิบของจำเลยที่ 1 โดยสถานที่ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้กับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประกันภัยเอกสารหมาย ล.3 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ยกแท่นไฮดรอลิกยกรถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงดังกล่าวเพื่อเทน้ำตาลดิบออกจากรถลงฉางเก็บ เมื่อแท่นไฮดรอลิกยกทำมุมได้ประมาณ40 องศา รถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงดังกล่าวไหลกระโดดข้ามที่กั้นล้อหลังแล้วไหลไปชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0497 อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน70-0498 อุดรธานี ทำให้รถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงได้รับความเสียหาย โจทก์นำไปซ่อมแซมและจ่ายค่าซ่อมแซมพร้อมค่าอะไหล่แล้วตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2536 คดีมีปัญหาโต้เถียงกันในชั้นนี้เพียงว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อคดีฟังได้ว่าเหตุที่รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน70-0501 อุดรธานี และรถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0502 อุดรธานี ไหลลงไปชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0497 อุดรธานี และรถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน70-0498 อุดรธานี ทำให้รถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงได้รับความเสียหายนั้น เกิดขึ้นในขณะที่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 กำลังยกแท่นไฮดรอลิกเพื่อเทน้ำตาลดิบออกจากรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0501 อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0502อุดรธานี ซึ่งจอดอยู่บนแท่นไฮดรอลิกนั้นลงฉางเก็บ แท่นไฮดรอลิกดังกล่าวเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้ โดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้มีไว้ในครอบครองจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดขึ้นแต่ทรัพย์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้เสียหายนั้นเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบว่าเหตุที่เกิดความเสียหายสืบเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างในฎีกาที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เหตุแห่งความเสียหายเกิดจากสภาพความชำรุดบกพร่องของแหนบรถยนต์ซึ่งบรรทุกน้ำตาลดิบคันเกิดเหตุนั้น ก็ได้ความตามคำเบิกความของนายณรงค์ ชมรัตน์ พยานจำเลยเพียงว่า อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดจากแหนบรถของโจทก์ซึ่งมีลักษณะโค้งขึ้น เมื่อมีการยกแท่นไฮดรอลิกเพื่อถ่ายน้ำตาลดิบลงทำให้น้ำตาลไหลตัวมารวมกันที่ด้านท้ายและแหนบดังกล่าวได้ยุบตัวลงและเกิดอาการขัดข้องเมื่อน้ำตาลได้ถ่ายตัวลงภาชนะรองรับแล้ว แหนบดังกล่าวได้ดีดตัวขึ้นอย่างกะทันหัน จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุ โดยพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้เปรียบเทียบแหนบของรถคันที่เกิดเหตุกับรถคันอื่น ทำให้ทราบว่ารถคันที่เกิดเหตุนั้นตัวแหนบชำรุดบกพร่องและรถปกติตัวแหนบจะต้องคว่ำลง แต่รถคันเกิดเหตุจากการตรวจสอบปรากฏว่าตัวแหนบหงายขึ้น ตัวแหนบนั้นเมื่อผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง หูแหนบจะสึกทำให้เป็นร่อง เมื่อมีน้ำหนักกดตัวลงมาตัวแหนบดังกล่าวจะทรุดตัวลงแล้วไปขวางตัวอยู่ในร่องที่ชำรุดหากหูแหนบไม่ชำรุดเมื่อมีการถ่ายเทน้ำตาลทรายดิบลงสู่ที่รองรับแล้วตัวแหนบก็จะค่อย ๆยกตัวขึ้น แต่จากการที่หูแหนบสึกดังกล่าวและตัวแหนบไปขัดอยู่ในช่องที่ชำรุดนั้น ทำให้เมื่อน้ำหนักที่กดอยู่บนตัวแหนบลดน้อยลงแล้ว ตัวแหนบจะยกตัวขึ้นอย่างกะทันหัน อันเป็นผลให้ล้อด้านหลังของรถพ่วงลอยขึ้นเหนือแผงเหล็กที่กั้นอยู่เท่านั้น จำเลยหาได้นำตัวพนักงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเปรียบเทียบแหนบของรถคันที่เกิดเหตุกับรถคันอื่นดังที่นายณรงค์กล่าวอ้างถึง ตลอดจนช่างผู้มีความรู้ความชำนาญในการซ่อมแซมรถยนต์มาเป็นพยานยืนยันประกอบคำเบิกความของนายณรงค์แต่อย่างใด ทั้งนายณรงค์พยานจำเลยดังกล่าวก็คงเป็นเพียงพนักงานของจำเลยที่ 1 ที่ทำหน้าที่ดูแลซ่อมแซมเครื่องจักรที่เสียเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีความรู้เชี่ยวชาญในการซ่อมแซมรถยนต์แต่ประการใด ลำพังเพียงคำเบิกความของนายณรงค์พยานจำเลยดังกล่าวจึงยังฟังไม่ได้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากแหนบของรถลากพ่วงคันเกิดเหตุชำรุดบกพร่อง และแม้จะได้ความตามคำเบิกความของนายประยูร บัวเคล้า พยานจำเลยว่า หลังเกิดเหตุพยานได้ไปดูแหนบของตัวรถคันเกิดเหตุปรากฏว่าแหนบเสียหาย ปรากฏตามภาพถ่ายภาพที่ 10 และ 11 ตามเอกสารหมาย ล.9 ก็ตาม แต่ตามคำอธิบายประกอบภาพถ่ายทั้งสองภาพนั้นก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่าความเสียหายของรถบรรทุกพ่วงคันเกิดเหตุมีสาเหตุมาจากการชนกับที่กั้นล้อ มิใช่ความเสียหายที่มีอยู่ก่อนเกิดเหตุ กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าเหตุที่รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน70-0501 อุดรธานี และรถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0502 อุดรธานี ไหลกระโดดข้ามที่กั้นล้อหลังของแท่นไฮดรอลิกไปชนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0497อุดรธานี รถลากพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-0489 อุดรธานี จนเกิดความเสียหายนั้น เกิดจากสภาพความชำรุดบกพร่องของแหนบรถยนต์ซึ่งบรรทุกน้ำตาลดิบคันเกิดเหตุดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง และเมื่อพิจารณาถึงรายงานของบริษัทสำนักงานกฎหมาย ซี.ซี.ลอว์ จำกัด ที่ส่งไปให้จำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย ล.4 และ ล.13 ที่สรุป สาเหตุของอุบัติเหตุโดยวิศวกรที่ปรึกษาของบริษัทดังกล่าวว่า ขณะเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกน้ำตาลดิบมาจากจังหวัดอุดรธานี ระหว่างการเดินทางน้ำตาลมีความชื้นสูงจึงเกาะกันแน่น เมื่อเครื่องยกขึ้นเท น้ำตาลเป็นผลึกทำให้น้ำหนักเฉลี่ยไม่สม่ำเสมอ เมื่อน้ำหนักถ่ายออกทันทีทันใด ทำให้แหนบรถเกิดแรงต้านดีดตัวรถให้ลอยขึ้นข้ามที่กั้นล้อแล้วดึงโซ่ที่มัดคานหน้าไว้ขาดก่อนที่จะไหลลงมากระโดดข้ามที่กั้นล้อทุกล้อ เพราะน้ำหนักของตัวรถและน้ำตาลมีมาก ประกอบคำเบิกความของนายวารินทร์ ก๊กเครือ พยานจำเลยว่า ในวันเกิดเหตุมีพนักงานของจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ไผ่แทงไปที่น้ำตาลดิบ เพื่อช่วยในการไหลของน้ำตาล จึงเชื่อได้ว่าขณะเกิดเหตุน้ำตาลดิบมีสภาพเกาะกันแน่นจริงดังรายงานเอกสารหมาย ล.4และ ล.13 แต่ก็ได้ความตามคำเบิกความของนายประยูรว่า ในวันดังกล่าวพนักงานของจำเลยที่ 1 ใช้ไม้แทงน้ำตาลเพื่อให้ไหลเนื่องจากน้ำตาลเกาะเป็นก้อนผิวบนเท่านั้น ส่อแสดงว่ามิได้มีการทำให้น้ำตาลที่บรรทุกอยู่บนรถลากพ่วงคันเกิดเหตุแตกตัวทั้งหมดก่อนแล้วจึงยกแท่นไฮดรอลิกขึ้นเทแต่อย่างใดแล้ว น้ำตาลดิบซึ่งยังมีสภาพเกาะกันแน่นอยู่นั้นย่อมทำให้น้ำหนักเฉลี่ยยังคงไม่สม่ำเสมออยู่เช่นเดิม เมื่อถ่ายน้ำหนักออกจากรถลากพ่วงคันดังกล่าวในทันที ทันใด จึงย่อมทำให้แหนบรถเกิดแรงต้านและดีดตัวรถให้ลอยขึ้นข้ามที่กั้นล้อแล้วดึงโซ่ที่มัดคานหน้าไว้ขาดก่อนที่จะไหลลงมากระโดดข้ามที่กั้นล้อทุกล้อดังที่วิศวกรที่ปรึกษาของบริษัทสำนักงานกฎหมาย ซี.ซี.ลอว์ จำกัด ซึ่งได้ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุทำรายงานสรุปสาเหตุของอุบัติเหตุแก่บริษัทตามที่บริษัทดังกล่าวได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ให้ไปตรวจสอบแล้วทำรายงานให้จำเลยที่ 2 ทราบ ตามเอกสารหมาย ล.4 ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการเสียหายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย เพราะจำเลยที่ 1 อาจป้องกันมิให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นได้โดยการทำให้น้ำตาลที่บรรทุกมาในรถบรรทุกแตกตัวเสียก่อนที่จะนำรถขึ้นแท่นไฮดรอลิกเพื่อยกเทน้ำตาลลงภาชนะที่รองรับนั้นได้ และเมื่อคดีฟังได้ว่าเหตุที่รถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงทั้งสี่คันเสียหายเกิดจากการใช้แท่นไฮดรอลิกซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 เช่นนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดในความเสียหายนั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยตามสัญญาประกันภัย เอกสารหมาย ล.3 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกและรถลากพ่วงที่ได้รับความเสียหายและได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าซ่อมแซมรถที่เสียหายนั้นไปแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share