คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องความว่าจำเลยที่1กับโจทก์ต่างขับรถไปตามถนนคนละสายแต่ต่างมุ่งหน้าไปที่สี่แยกพระยาตรังซึ่งถนนทั้งสองสายจะต้องตัดผ่านจำเลยที่1ขับรถยนต์บรรทุกผ่านสี่แยกด้วยความเร็วสูงไม่ระมัดระวังจึงเป็นเหตุให้ชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับมาด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎหมายคำฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยที่1กับโจทก์ขับรถมาอย่างไรและเกิดชนกันอย่างไรทั้งจำเลยที่2สามารถให้การต่อสู้คดีได้โจทก์ไม่จำต้องกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายขับรถตามกันหรือสวนกันหรือต่างฝ่ายต่างจอดรอสัญญาณไฟหรือฝ่าฝืนสัญญาณไฟและชนกันในลักษณะอย่างไรซึ่งเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 มาตามถนนเลียบเนินขาเข้ามุ่งหน้าไปทางสี่แยกพระยาตรัง (ถนนเลียบเนินตัดกับถนนพระยาตรัง) ขณะที่รถยนต์บรรทุกมาถึงบริเวณสี่แยกพระยาตรัง จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และบุคคลเช่นนั้นอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ แต่หาได้ใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นไม่ กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและฝ่าฝืนกฎหมายในขณะที่มาถึงบริเวณสี่แยกพระยาตรัง ซึ่งตามปกติบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องชะลอรถหรือหยุดรถและใช้ความระมัดระวังเพราะเป็นบริเวณสี่แยกที่มีการจราจรคับคั่ง แต่จำเลยที่ 1 หาได้ชะลอรถหรือหยุดรถและใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอไม่ กลับขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงและฝ่าฝืนกฎหมายและประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้ชนรถจักรยานยนต์ซึ่งโจทก์เป็นผู้ขับมาตามถนนพระยาตรังขาเข้าและได้ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการโดยโจทก์ได้ชะลอรถและใช้ความระมัดระวังในขณะมาถึงสี่แยกเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้หลบหนีไป ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน200,000 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ เพราะโจทก์ขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดงซึ่งเป็นสัญญาณไฟจราจรให้รถที่โจทก์ขับมาหยุดรอจนกว่าจะได้รับสัญญาณไฟเขียว โจทก์ขับรถฝ่าฝืนต่อกฎจราจรและพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้เกิดชนกับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งแล่นมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่บรรยายให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ขับรถอย่างไร ชนกันอย่างไรอันมีลักษณะเป็นการประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงไม่สามารถเข้าใจข้อกล่าวหาของโจทก์ได้ ค่าเสียหายที่โจทก์ขอมานั้นสูงเกินความเป็นจริง และไม่มีหลักฐานยืนยัน และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมสภาพของรถจักรยานยนต์เพราะเป็นรถที่โจทก์ใช้มานานแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน79,149 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้ความว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์ต่างขับรถไปตามถนนคนละสาย แต่ต่างมุ่งหน้าไปที่สี่แยกพระยาตรังซึ่งถนนทั้งสองสายจะต้องตัดผ่านจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกผ่านสี่แยกด้วยความเร็วสูงไม่ระมัดระวัง จึงเป็นเหตุให้ชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับมาด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ 2 ได้ให้การในส่วนนี้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถด้วยความประมาท เหตุที่ชนกันนี้เป็นเพราะโจทก์ขับรถฝ่าสัญญาณไฟ คำฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งขัดแล้วว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์ขับรถมาอย่างไร และเกิดชนกันอย่างไรทั้งจำเลยที่ 2 สามารถให้การต่อสู้คดีได้ โจทก์ไม่จำต้องกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายขับรถตามกันหรือสวนทางกัน หรือต่างฝ่ายต่างจอดรอสัญญาณไฟ หรือฝ่าฝืนสัญญาณไฟ และชนกันในลักษณะอย่างไร ซึ่งเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน

Share