แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำพินัยกรรมให้โจทก์โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ รู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของรัฐบาลแล้วยังขืนทำการโอนให้โจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ถูกผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ฟ้องขับไล่ ศาลฎีกาพิพากษาขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาท ทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความเรื่องละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาใช้บังคับ เมื่อคดีฟังข้อเท็จจริงได้ว่า นับแต่วันที่โจทก์ทำนิติกรรมซื้อที่ดินพิพาทจนถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลเป็นเวลาห่างกันถึง 21 ปี และโจทก์เพิ่งยื่นฟ้องคดีนี้ภายหลังจากที่โจทก์ได้ฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนแล้วถึง 2 ปีเศษ คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินได้จัดทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างนายสนกับโจทก์โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ รู้ว่าที่ดินเป็นของรัฐบาลยังขืนทำการโอนให้โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 โดยตำแหน่งนายอำเภอเซ็นโอนนิติกรรมตามอำนาจหน้าที่ จำเลยที่ 3 เป็นอธิบดีกรมที่ดินมีหน้าที่รับผิดชอบความเสียหาย ที่เกิดขึ้นในสายงานซึ่งเกี่ยวกับที่ดินของรัฐบาลซื้อแล้วโจทก์ครอบครองโดยสงบเปิดเผยตลอดมา ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ได้ฟ้องขับไล่โจทก์ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินรัฐบาลอยู่ในเขตผังเมือง ศาลฎีกาพิพากษาขับไลาโจทก์ให้ออกจากที่พิพาท คดีถึงที่สุดทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 55,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้อง เฉพาะจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์ คดีถึงที่สุดชั้นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้รับฟ้องจำเลยที่ 3 ด้วย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานที่ดิน ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม โจทก์จะซื้อที่ดินหรือไม่ ไม่ทราบฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ หากแต่เป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง คดีขาดอายุความฟ้องร้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นส่วนตัว มิได้ฟ้องกรมที่ดินเป็นจำเลยด้วย จำเลยที่ 3 ในฐานะส่วนตัวมิได้รู้เห็นการกระทำของจำเลยที่ 1กับโจทก์ เพราะขณะนั้นจำเลยที่ 3 มิได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดิน กรมที่ดินและจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด ความผิดพลาดเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และคดีขาดอายุความ
วันชี้สองสถาน คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันว่า คดีที่โจทก์ถูกผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ฟ้องขับไล่ออกจากที่พิพาทนั้น โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2518
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายและวินิจฉัยว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์กล่าวว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่แผนกที่ดินของอำเภอเมืองเพชรบูรณ์มีหน้าที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน แต่จำเลยที่ 1 ได้กระทำโดยจงใจประมาทเลินเล่อรู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของรัฐบาลแล้วยังขืนทำนิติกรรมโอนให้โจทก์ และต่อมาโจทก์ถูกผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ฟ้องขับไล่ ศาลฎีกาพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาท ดังนี้ เห็นว่าฟ้องโจทก์แสดงว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินให้โจทก์โดยมิได้สอบสวนก่อนว่าที่พิพาทเป็นของรัฐบาลอยู่ในเขตผังเมืองหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ดังกรณีที่โจทก์ฟ้องนี้ การกระทำก่อให้เกิดความเสียหายเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์นั่นเอง หาใช่เป็นเรื่องเรียกค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากรัฐเอาที่ดินคืนดังฎีกาของโจทก์ไม่ ต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความเรื่องละเมิดมาใช้บังคับ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้นท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปี นับแต่วันทำละเมิด”คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทำนิติกรรมซื้อที่พิพาทจากนายสนเมื่อวันที่ 7มีนาคม 2499 โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2518และโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยให้รับผิดในมูลละเมิดเป็นคดีนี้ต่อศาลเมื่อวันที่ 3กุมภาพันธ์ 2521 เมื่อนับตั้งแต่วันที่โจทก์ทำนิติกรรมซื้อที่ดินพิพาทจนถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้ 21 ปี และนับตั้งแต่วันที่โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลฎีกาถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้ 2 ปีเศษ ดังนี้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน