คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้พึงจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งกล่าวไว้ในมาตรา 448 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น ก็คือ ผู้ทำละเมิดตามมาตรา 420 นั่นเองและการรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 448 นั้น ก็มิได้หมายรวมถึงการรู้จำนวนค่าเสียหายที่ผู้ละเมิดจะพึงต้องใช้ด้วย
เสมียนแผนกเงินยักยอกเงินของทางราชการในระหว่างที่จำเลย3 คนดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกเงินสืบต่อกัน เมื่ออธิบดีกรมนั้นได้รับรายงานจากคณะกรรมการสอบสวนว่า จำเลยคนใดจะต้องรับผิดเพียงใด เป็นจำนวนเงินเท่าใด ย่อมแล้วแต่ความทุจริตซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่จำเลยนั้นๆเป็นหัวหน้าแผนก ดังนี้ อายุความในการที่กรมนั้นจะใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยย่อมเริ่มต้นแล้วแม้รายงานนั้นจะแจ้งด้วยว่า ในขณะนั้นยังไม่สามารถจะรายงานให้ทราบจำนวนเงินซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามรับราชการตำแหน่งหัวหน้าแผนกเงินสำนักงานเลขานุการกรมที่ดิน โดยจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งในปี 2492ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2498 จำเลยที่ 2 ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2498 ถึง 1 มิถุนายน 2498 และจำเลยที่ 3 ตั้งแต่ 2 มิถุนายน 2498 ถึง 6 มกราคม 2499 จำเลยได้ประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ปล่อยให้นายทวี นิยมฤทธิ์ เสมียนแผนกเงินทำการทุจริตยักยอกมัดจำรังวัดรวม 1,001,346.55 บาท โดยยักยอกไปในระยะที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบ 837,530.50 บาท ในระยะที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบ 67,573.85 บาท ในระยะที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดชอบ 96,242.20 บาท กระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ทราบถึงตัวจำเลยทั้งสามที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อ 5 ตุลาคม 2499 ได้แจ้งให้จำเลยชดใช้แล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงินตามจำนวนที่ต้องรับผิดชอบดังกล่าวแก่โจทก์ (ยื่นฟ้องวันที่ 5 ตุลาคม 2500)

จำเลยแต่ละคนให้การตัดฟ้องว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วและต่อสู้ประการอื่นด้วย

ศาลแพ่งพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อความปรากฏขึ้นว่า นายทวีได้ยักยอกเงินรายนี้ไปแล้ว อธิบดีกรมโจทก์ได้สั่งให้ไล่นายทวีออก และให้คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเกี่ยวกับความรับผิดของผู้บังคับบัญชาในทางการเงินว่าผู้บังคับบัญชาจะต้องรับผิดชอบใช้ให้หรือไม่เพียงใด ขอให้กรรมการตรวจสอบเหตุผลเสนอ คณะกรรมการจึงเสนอความเห็นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2499 ว่า ความรับผิดของหัวหน้าแผนกเงินทั้งสามนาย คือ จำเลยทั้งสามนี้ คนใดจะต้องรับผิดเพียงใดเป็นจำนวนเงินเท่าใด ย่อมแล้วแต่ความทุจริตซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่บุคคลนั้นเป็นหัวหน้าแผนก ซึ่งไม่สามารถจะเรียนให้ทราบในขณะนั้นได้ เพราะจะต้องรอการตรวจสอบบัญชีของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินให้แน่นอนก่อน ดังนี้ แสดงให้เห็นชัดว่า โจทก์ได้ถือเอาและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนในข้อที่กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสามได้ทำการประมาทเลินเล่อให้โจทก์ต้องเสียหายเมื่อเดือนกรกฎาคม 2499 นั้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า ในเดือนกรกฎาคม 2499 นั้น โจทก์ก็ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนดังที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกร้องให้รับผิดนี้แล้ว ยังคงขาดอยู่แต่การที่จะกำหนดเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดเท่านั้นอายุความ 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 เป็นการกำหนดหน้าที่ให้โจทก์สอบสวนคิดคำนวณค่าเสียหายนานพออยู่แล้วข้อที่โจทก์ฎีกาว่า การรู้ตัวผู้พึงใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องหมายรวมถึงการรู้จำนวนค่าเสียหายที่ผู้ละเมิดจะพึงต้องใช้ด้วยนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะตามบทบัญญัติมาตรา 420 แสดงอยู่ในตัวว่าผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็คือ ผู้ทำละเมิดนั่นเอง ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความที่ยังไม่รู้ว่าผู้ทำละเมิดจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพียงใดหาอาจนำมาอ้างได้ว่ายังไม่รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ไม่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดเมื่อขาดอายุความพ้นปีหนึ่งแล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน

Share