คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2301/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินและทำแผนที่วิวาทตามคำขอของโจทก์ แม้จะมีคำสั่งภายหลังโจทก์และจำเลยสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ทำแผนที่วิวาทเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคท้าย ซึ่งสามารถสั่งได้เองโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอหรือจะสั่งตามที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอก็ได้ เมื่อศาลอนุญาตแล้วแม้คู่ความจะมิได้ระบุพยานเพิ่มเติมศาลก็สามารถรับฟังพยานหลักฐานที่มีการสืบเพิ่มเติมนั้นได้ตามมาตรา 87(2) ส่วนพยานหลักฐานนั้นจะมีน้ำหนักรับฟังได้เพียงใดเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3711 จำเลยที่ 2เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 60089, 60090 และ 60091 พร้อมบ้านตึกแถวจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปลูกสร้างและต่อเติมดัดแปลงบ้านตึกแถวดังกล่าวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และก่อสร้างพื้นคอนกรีตบนที่ดินของโจทก์ โดยโจทก์ไม่ยินยอมและไม่อนุญาต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่อาจใช้สอยและหาประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวโดยปกติสุข หากโจทก์นำที่ดินออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนบ้านตึกแถวในส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยปรับพื้นที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารเข้าไปในที่ดินของโจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนบ้านและออกจากที่ดินของโจทก์

จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ร่วมกันปลูกสร้างต่อเติมดัดแปลงตึกแถวรุกล้ำที่ดินของโจทก์ และไม่ได้ก่อสร้างพื้นคอนกรีตบนที่ดินของโจทก์ ที่ดินส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยก่อสร้างรุกล้ำเป็นที่ดินสาธารณะไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนแผ่นป้ายโฆษณาในส่วนที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์ประมาณ 1.2 ถึง 1.5 เมตร ออกไป ห้ามจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนแผ่นป้ายส่วนที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินพิพาทและทำแผนที่วิวาทตามคำขอของโจทก์และจำเลยทั้งสองทำการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินพิพาทและทำแผนที่วิวาทตามคำขอของโจทก์ แม้จะได้มีคำสั่งภายหลังจากที่โจทก์และจำเลยทั้งสองได้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมทำละเมิดกับจำเลยที่ 1 และโจทก์ไม่ได้เสียหายตามฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท จนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนแผ่นป้ายโฆษณาออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยอุทธรณ์คัดค้านด้วยว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ และไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ให้ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับอุทธรณ์ในข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ดังกล่าว คงรับอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่จำเลยทั้งสองไม่นำเงินมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ดังนี้ ปัญหาตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาดังกล่าวจึงเป็นยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหานั้นอีก ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน

คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ศาลชั้นต้นรับฟังแผนที่วิวาทซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้ลงชื่อรับรองและโจทก์ไม่ได้ระบุพยานเพิ่มเติมประกอบพยานหลักฐานอื่นรวมทั้งข้อเท็จจริงจากการเดินเผชิญสืบได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ทำแผนที่วิวาทนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคท้าย ซึ่งบทมาตราดังกล่าวนี้ศาลสามารถสั่งได้เองโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ หรือจะสั่งตามที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอก็ได้ เมื่อศาลอนุญาตแล้ว แม้คู่ความจะมิได้ระบุพยานเพิ่มเติมศาลก็สามารถรับฟังพยานหลักฐานที่มีการสืบเพิ่มเติมนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) ส่วนพยานหลักฐานนั้นจะมีน้ำหนักรับฟังได้เพียงใดเป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน สำหรับแผนที่วิวาทนั้นแม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ลงชื่อรับรองแต่จำเลยทั้งสองก็มิได้โต้แย้งว่าแผนที่วิวาทดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 2 ทั้งสามแปลงอย่างไร ศาลชั้นต้นจึงรับฟังแผนที่วิวาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินทำขึ้นดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นรวมข้อเท็จจริงจากการเดินเผชิญสืบได้ และศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยโดยอาศัยการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้จากการเดินเผชิญสืบและแผนที่วิวาทแล้วฟังว่าจำเลยทั้งสองสร้างแผ่นป้ายโฆษณารุกล้ำที่ดินพิพาทของโจทก์ มิใช่ฟังจากการเดินเผชิญสืบหรือแผนที่วิวาทเท่านั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share