คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยนำวิทยุเครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นซีดี ลำโพงและอุปกรณ์ เครื่องเสียงมาสู่รถที่เช่าซื้อก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยมิใช่เพื่อประโยชน์แก่การจัดดูแล ใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธานคือรถที่เช่าซื้อทรัพย์ดังกล่าวจึงมิใช่อุปกรณ์อันจะตกติดไปกับทรัพย์ประธานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 147 วรรคท้าย
สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า หากผู้เช่าซื้อนำสิ่งของเข้ามาดัดแปลงต่อเติม ติดหรือตั้งอยู่ในตัวทรัพย์สินที่เช่าซื้อ สิ่งนั้นจะตกเป็นส่วนหนึ่งของตัวทรัพย์สินที่เช่าซื้อและเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทันที มีที่มาจากปัญหาซึ่งมักจะเกิดแก่โจทก์ที่ต้องพิพาทกับผู้เช่าซื้อในกรณีที่ผู้เช่าซื้อนำสิ่งของเข้ามาดัดแปลง ต่อเติม ติดหรือตั้งกับทรัพย์ที่เช่าซื้อและจะเอาสิ่งของนั้นคืน เมื่อต้องคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ แต่การรื้อสิ่งของที่ว่านั้นออกไปจะทำให้ทรัพย์ที่เช่าซื้อเสียหายได้ ฉะนั้น ลำพังการที่จำเลยนำทรัพย์ดังกล่าวมาสู่ตัวรถที่เช่าซื้อ ย่อมไม่ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความเสียหายหากจะต้องรื้อออกไป จึงไม่อยู่ในขอบแห่งข้อสัญญาดังกล่าว โจทก์ไม่อาจยกมาเป็นเหตุไม่คืนวิทยุ เครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นซีดี ลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงให้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9ศ – 6161 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน ไปจากโจทก์ในราคา2,325,420.24 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน หลังทำสัญญาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 24 ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวแต่จำเลยที่ 1 ไม่คืนรถให้โจทก์ ต่อมาโจทก์จึงติดตามยึดรถคืนได้ในสภาพชำรุดซึ่งหากนำออกประมูลขายจะได้เงินเพียง 1,100,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดราคา 415,046.52 บาท และขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 35,233.64 บาท เป็นเวลา 5 เดือน เป็นเงิน 176,168.20 บาทแต่ในส่วนนี้จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 87,700 บาท จึงคงเหลือค่าเสียหายเป็นเงิน 88,468.20 บาท นอกจากนี้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถคืนเป็นเงิน5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 508,514.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า การเลิกสัญญาไม่ชอบโจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดรถที่เช่าซื้อ นอกจากนี้ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกสูงเกินความเป็นจริง ค่าขาดประโยชน์ไม่ควรเกินเดือนละ 3,000 บาท ส่วนค่าขาดราคานั้น หากนำรถที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดและนำมาหักกับค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ชำระแล้วบางส่วนก็จะคุ้มกับความเสียหายแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกในส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้องและขอถือคำให้การเป็นฟ้องแย้ง เนื่องจากจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 954,800 บาท ซึ่งเมื่อนำไปหักจากค่าขาดประโยชน์เดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 29 เดือน จึงคงเหลือเงินจำนวน 867,800บาท ขอให้โจทก์คืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 และให้โจทก์คืนวิทยุ เครื่องเล่นซีดีลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ติดกับรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่จำเลยที่ 1 หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 200,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,067,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ไม่จำต้องคืนเงินจำนวน 867,800บาท แก่จำเลยที่ 1 นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขอให้โจทก์คืนวิทยุ เครื่องเล่นเทปเครื่องเล่นซีดี ลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ติดกับรถที่เช่าซื้อ เนื่องจากถือว่าเป็นอุปกรณ์ของรถคันที่เช่าซื้อ และเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อข้อ 8 ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 12,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน13,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2540จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้โจทก์คืนวิทยุ เครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นซีดี ลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงแก่จำเลยที่ 1 หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 30,908.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงเหลือปัญหาต้องวินิจฉัยสุดท้ายว่า โจทก์ต้องคืนวิทยุ เครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นซีดี ลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงให้แก่จำเลยที่ 1 หรือไม่เห็นว่า ทรัพย์ดังกล่าวนี้ จำเลยที่ 1 นำมาสู่รถที่เช่าซื้อก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1หาใช่เพื่อประโยชน์แก่การจัดดูแล ใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธานคือรถที่เช่าซื้อไม่ทรัพย์ดังกล่าวจึงมิใช่อุปกรณ์อันจะตกติดไปกับทรัพย์ประธานตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 147 วรรคท้าย ส่วนที่สัญญาเช่าซื้อข้อ 8เอกสารหมาย จ.6 ระบุว่า “…หากผู้เช่าซื้อนำสิ่งของเข้ามาดัดแปลง ต่อเติม ติดหรือตั้งอยู่ในตัวทรัพย์สินที่เช่าซื้อ สิ่งนั้นจะตกเป็นส่วนหนึ่งของตัวทรัพย์สินที่เช่าซื้อและเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทันที…” นั้น เห็นว่า สัญญาเช่าซื้อเป็นแบบฟอร์มที่โจทก์จัดทำขึ้นเพียงฝ่ายเดียว ข้อความที่ระบุในข้อ 8 น่าจะมีที่มาจากปัญหาซึ่งมักจะเกิดแก่โจทก์ที่ต้องพิพาทกับผู้เช่าซื้อในกรณีที่ผู้เช่าซื้อนำสิ่งของเข้ามาดัดแปลง ต่อเติม ติดหรือตั้งกับทรัพย์ที่เช่าซื้อ และจะเอาสิ่งของดังกล่าวคืน เมื่อต้องคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์แต่การรื้อสิ่งของที่ว่านั้นออกไปจะทำให้ทรัพย์ที่เช่าซื้อเสียหายได้ ฉะนั้น สำหรับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ลำพังการที่จำเลยที่ 1 นำทรัพย์ดังกล่าวมาสู่ตัวรถที่เช่าซื้อ ย่อมไม่ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความเสียหายหากจะต้องรื้อออกไปจากตัวรถที่เช่าซื้อ จึงไม่อยู่ในขอบแห่งข้อสัญญาดังกล่าว โจทก์จึงจะยกข้อสัญญาที่ปรากฏมาเป็นเหตุไม่คืนวิทยุ เครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นซีดี ลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงให้แก่จำเลยที่ 1หาได้ไม่ และที่ศาลอุทธรณ์กำหนดจำนวนเงิน 30,908.90 บาท ที่โจทก์ต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 1 หากโจทก์ไม่อาจคืนทรัพย์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ได้นั้น โจทก์ก็มิได้ฎีกาโต้แย้งเงินจำนวนนี้ว่าไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 63,300 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share