คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8881/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยแย่งอาวุธปืนจากผู้เสียหายมายิงผู้เสียหายในขณะเกิดเหตุวิวาทกัน แล้วก็ถูก ธ. แย่งอาวุธปืนคืนไปในขณะนั้น จึงต้องถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาครอบครองอาวุธปืนและพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะ
ผู้เสียหายกับพวกซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนร่วมกันกลุ้มรุมทำร้าย พ. ซึ่งเป็นผู้หญิงแต่เพียงคนเดียวอย่างรุนแรงถึงขนาดล้มลุกคลุกคลานและในขณะ พ. กำลังตั้งครรภ์ด้วย การที่จำเลยซึ่งเป็นสามีของ พ. เห็นและเข้าช่วยเหลือ พ. จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอย่างยิ่ง สมควรลดโทษให้และตามพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับจำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลย
ศาลล่างพิพากษาให้ริบเฉพาะอาวุธปืนของกลาง โดยมิได้ให้ริบปลอกกระสุนปืนของกลางตามฟ้องด้วย จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้คู่ความมิได้ฎีกาข้อนี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และการริบทรัพย์สินของกลางไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาให้ริบปลอกกระสุนปืนของกลางได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 83, 91, 288, 371 และริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นจำคุก 10 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน และฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 11 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 4 เดือน ริบอาวุธปืนของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72 ให้จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ยกฟ้องข้อหาอื่น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงนายมงคล ชื่นบาล ผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าเนื่องจากบันดาลโทสะ ที่ผู้เสียหายกับพวกกลุ้มรุมทำร้ายนางประไพ นุ่นเหว่าจนล้มลุกคลุกคลานในขณะที่นางประไพกำลังตั้งครรภ์ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อจำเลยยิงผู้เสียหายแล้ว จำเลยกำลังบรรจุกระสุนปืนใหม่นายธวัช จันทะรี ก็เข้ามาแย่งอาวุธปืนไป ความข้อนี้นายธวัชเบิกความสนับสนุนแต่เพียงว่า นายธวัชเข้าแย่งอาวุธปืนจากจำเลยได้ นายธวัชไม่ได้เบิกความว่านายธวัชเข้าแย่งอาวุธปืนจากจำเลยขณะที่จำเลยกำลังบรรจุกระสุนปืนดังที่โจทก์ฎีกา ทั้งในชั้นสอบสวนนายธวัชก็มิได้ให้การเช่นนั้น ตามคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.11 พยานโจทก์ปากอื่นก็ไม่ได้เบิกความสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายในเรื่องนี้อันจะทำให้เห็นว่าจำเลยบรรจุกระสุนปืนใหม่ คำเบิกความของผู้เสียหายในส่วนนี้จึงมีน้ำหนักน้อยรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยพาอาวุธปืนมาส่วนจำเลยมีจำเลยนายโอภาส อ่อนทอง และนางประไพเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยแย่งอาวุธปืนจากผู้เสียหายแล้วใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายความข้อที่ว่าจำเลยแย่งอาวุธปืนจากผู้เสียหายก็เจือสมกับคำเบิกความของนายเปรม ชื่นบาล น้องชายของผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายพกอาวุธปืนมาในที่เกิดเหตุด้วย นายโอภาสเป็นบุคคลภายนอกไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดส่วนนายเปรมเป็นน้องชายผู้เสียหาย พยานทั้งสองย่อมไม่เบิกความเข้าข้างจำเลยแน่ พยานหลักฐานจำเลยในเรื่องนี้จึงมีน้ำหนักน่ารับฟังกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยแย่งอาวุธปืนจากผู้เสียหายมายิงผู้เสียหายในขณะเกิดเหตุวิวาทกัน แล้วก็ถูกนายธวัชแย่งอาวุธปืนคืนไปในขณะนั้นจึงต้องถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาครอบครองอาวุธปืน และพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะอันจะเป็นความผิดตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า สมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายกับพวกซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหลายคนร่วมกลุ้มรุมทำร้ายนางประไพ นุ่นเหว่าซึ่งเป็นผู้หญิงแต่เพียงคนเดียวอย่างรุนแรงถึงขนาดล้มลุกคลุกคลานและในขณะนางประไพกำลังตั้งครรภ์ด้วย การที่จำเลยซึ่งเป็นสามีนางประไพเห็นและเข้าช่วยเหลือนางประไพจึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วางโทษจำเลยก่อนลด จำคุก 5 ปีจึงเป็นการลงโทษที่หนักเกินไป สมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เบาลงและเมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับจำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนจึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยด้วย ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น

อนึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานยึดอาวุธปืน 1 กระบอกและปลอกกระสุนปืน 1 ปลอก เป็นของกลาง และขอให้ริบของกลางศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบเฉพาะอาวุธปืนของกลางโดยมิได้ให้ริบปลอกกระสุนปืนของกลางด้วย และศาลอุทธรณ์ภาค 9 มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9)แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225และการริบทรัพย์สินของกลางนี้ไม่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 212”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก1 ปี 4 เดือน โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share