คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏว่าโจทก์และสามีโจทก์ยกที่ดินมีโฉนดให้แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตร และยอมให้จำเลยทั้งสองเข้าทำกินมาประมาณ 20 ปีโดยมีอาณาเขตเป็นส่วนสัด ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยความสงบและโดยเปิดเผย จำเลยทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ตนครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และใช้ยันโจทก์ได้แม้ในการยื่นคำร้องขอต่อศาลขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองจะมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบ และกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นคนหลงใหลสติฟั่นเฟือน กับใช้วิธีขอให้ศาลประกาศทางหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ทำให้สิทธิของจำเลยทั้งสองเสียไป

ย่อยาว

สำนวนที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๕๔๗ เนื้อที่ ๑๑ ไร่ ๔๔ ตารางวา จำเลยทั้งสองกับนางลิ้มเป็นบุตรโจทก์กับนายแช่ม เมื่อประมาณ ๒๐ ปี ก่อนฟ้องโจทก์ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุตรทั้งสามคนละประมาณ ๓ ไร่ ๒ งาน ๘๑ ตารางวา แต่ยังไม่ได้ระบุว่าผู้ใดจะได้ตรงที่ใด ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ โดยอ้างการครอบครองปรปักษ์ จำเลยทั้งสองได้เบิกความเท็จต่อศาลเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ว่าโจทก์เป็นคนหลงใหลสติฟั่นเฟือนหลง ๆ ลืม ๆ การดำเนินคดีดังกล่าวจำเลยทั้งสองขอให้ศาลประกาศทางหนังสือพิมพ์ โจทก์ซึ่งยังคงอยู่ในที่ดินไม่มีโอกาสทราบ จำเลยยังกล่าวต่อบุคคลอื่นด้วยว่าโจทก์เป็นคนแก่ไม่มีศีล ไม่มีสัตย์ ปากถือศีล มือถือสาก อันเป็นการเนรคุณต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความอับอาย ขอให้ศาลถอนคืนการให้และเพิกถอนคำสั่งในคดีที่จำเลยทั้งสองร้องขอต่อศาลให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อประมาณ ๒๑ – ๒๒ ปี ก่อนยื่นคำให้การนายแช่มและโจทก์ให้ที่ดินแปลงดังกล่าวแก่บุตรทั้งสามคนละส่วนเท่า ๆ กันโดยให้จำเลยที่ ๒ ได้ตอนเหนือ ส่วนตอนล่างด้านตะวันออกให้จำเลยที่ ๑ และด้านตะวันตกให้นางลิ้ม ผู้ได้รับการยกให้ต่างเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในส่วนที่ดินของจำเลย จำเลยไม่ได้เบิกความเท็จต่อศาลและไม่ได้ดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินคืนเพราะเหตุเนรคุณ เนื่องจากยกให้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่บริบูรณ์
สำนวนที่ ๓ และที่ ๔ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๔๕๔๗ เมื่อประมาณ ๒๕ ปีก่อนฟ้อง โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ปลูกบ้านและทำสวนในที่ดินบางส่วน กับให้จำเลยที่ ๒ อาศัยเก็บประโยชน์จากต้นไม้และปลูกไม้ล้มลุกในที่ดินบางส่วน บัดนี้โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่อาศัยและทำกินต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ รื้อบ้านกับบอกกล่าวให้จำเลยที่ ๒ งดการปลูกต้นไม้และเก็บผลไม้ในที่ดินโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ปลูกบ้านและที่ดินที่จำเลยที่ ๒ เข้าทำกินเป็นที่ดินส่วนของจำเลยซึ่งโจทก์ยกให้เมื่อ ๒๕ ปีก่อนยื่นคำให้การและศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่า คำสั่งของศาลจังหวัดนนทบุรีที่สั่งว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เข้าทำกินโดยการครอบครองปรปักษ์จะใช้ยันโจทก์ได้หรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองและนางลิ้มเป็นบุตรโจทก์กับนายแช่ม โจทก์และนายแช่มได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองและนางลิ้มเข้าทำกินในที่ดินแปลงดังกล่าวมาประมาณ ๒๐ ปีในเนื้อที่เท่า ๆ กันโดยมีอาณาเขตเป็นส่วนสัด มีท้องร่องและทางเดินเป็นแนวเขต แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อโจทก์และนายแช่มยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสอง และยอมให้จำเลยทั้งสองเข้าทำกินมาประมาณ ๒๐ ปี โดยมีอาณาเขตเป็นส่วนสัด ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยความสงบและโดยเปิดเผย จำเลยทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ตนครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๒ แม้ในการยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรีขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองจะมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบและกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นคนหลงใหลสติฟั่นเฟือนเดินทางไกลไม่ได้ กับใช้วิธีขอให้ศาลประกาศทางหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ทำให้สิทธิของจำเลยทั้งสองเสียไปและใช้ยันโจทก์ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง
พิพากษายืน

Share