คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5332/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องและให้การแก้ฟ้องแย้งตอนแรกว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจาก ป. จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยรับมรดกจาก ส. คดีคงมีประเด็นพิพาทเพียงว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น แม้โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งตอนหลังว่าจำเลยเพิ่งโต้แย้งคัดค้านสิทธิครอบครองของโจทก์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปี สิทธิของจำเลยจึงต้องห้ามตามมาตรา 1375 วรรคสอง ก็เป็นคำให้การแก้ฟ้องแย้งที่ขัดกับคำฟ้องของโจทก์และเป็นคำให้การแก้ฟ้องแย้งไม่ชัดแจ้งและขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองคดีจึงไม่อาจมีประเด็นข้อพิพาทเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเลขที่ 551 (ที่ถูกทะเบียนเล่ม 50 หน้า 2ใบจองเลขที่ 551) หมู่ที่ 6 ตำบลท่าขอนยาง (ปัจจุบันหมู่ที่ 20 ตำบลขามเรียง) อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม และห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนคำคัดค้านคำขอจดทะเบียนหากไม่ดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหาย2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าคดีถึงที่สุด

จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองและไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกจากนางสิม สารบุญหรือนารินท์โดยจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองตั้งแต่ปี 2524 ตลอดมา ต่อมาปี 2532จำเลยที่ 2 ไปเป็นทหารเกณฑ์ จำเลยที่ 1 ไปทำงานที่จังหวัดชัยภูมิจึงมอบให้นายประจิม สารบุญ ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนายประจิม โดยนายประจิมไม่มีอำนาจขายและโจทก์ไม่เสียหาย จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง ให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทแก่จำเลยทั้งสอง หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้สั่งเจ้าพนักงานที่ดินเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืนแก่จำเลยทั้งสองหรือให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์แทนฉบับเดิมให้แก่จำเลยทั้งสอง

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 551 (ที่ถูกทะเบียนเล่ม 50หน้า 2 ใบจองเลขที่ 551) หมู่ที่ 6 ตำบลท่าขอนยาง (ปัจจุบันหมู่ที่ 20ตำบลขามเรียง) อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ห้ามโจทก์และบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้โจทก์ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลยทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้เจ้าพนักงานที่ดินเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลยทั้งสองหากไม่ได้คืนให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์แทนฉบับเดิมให้แก่จำเลยทั้งสอง และให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากโจทก์คืนแก่จำเลยทั้งสอง หากไม่ได้คืนให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์แทนฉบับเดิมให้แก่จำเลยทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความนำสืบและไม่โต้เถียงกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองมอบให้นายประจิมเป็นผู้ครอบครองดูแลแทน เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนายประจิม โจทก์จึงได้สิทธิไปเพียงเท่าที่นายประจิมมี คือ ได้ไปเพียงสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยทั้งสองเท่านั้น เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตคิดว่าเป็นที่ดินของนายประจิม โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองเห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายรับรอง และที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยแสดงเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปีแล้วย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เห็นว่า โจทก์ฟ้องและให้การแก้ฟ้องแย้งตอนแรกว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากนายประจิมสารบุญ จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยรับมรดกจากนางสิม สารบุญ หรือนารินทร์ คดีคงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น แม้โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งตอนหลังว่า จำเลยทั้งสองเพิ่งโต้แย้งคัดค้านสิทธิครอบครองของโจทก์ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปี สิทธิของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375วรรคสอง ก็เป็นคำให้การแก้ฟ้องแย้งที่ขัดกับคำฟ้องของโจทก์และเป็นคำให้การแก้ฟ้องแย้งไม่ชัดแจ้งและขัดแย้งกันเอง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองคดีจึงไม่อาจมีประเด็นข้อพิพาทเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share