แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่เปนความผิดส่วนตัวและเปนอาญาของแผ่นดิน เมื่อผู้เสียหายไม่ติดไจเอาความ โจทไม่คัดค้านและสาลสั่งจำหน่ายคดีความผิดส่วนตัวแล้ว ไม่ทำไห้คดีอาญาแผ่นดินต้องถอนไปด้วย
ย่อยาว
อัยการโจทฟ้องขอไห้ลงโทษจำเลยโดยผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไห้นำคดีขึ้นฟ้องร้องตามกดหมายลักสนะอาญา มาตรา ๒๖๘,๒๗๐,๓๐๔,๗๑,๗๒ และ ๖๓
จำเลยไห้การปติเสธ
เมื่อสืบพยานโจทได้ ๓ ปาก ผู้เสียหายแถลงต่อสาลว่า ได้ทำความตกลงกับจำเลยแล้ว จึงไม่ติดไจเอาความต่อไป ขอถอนคำร้องทุกข์ ไห้คดีเส็ดเด็ดขาดไป
สาลชั้นต้นเห็นว่าเปนคดีส่วนตัว สอบถามโจทแล้วไม่คัดค้าน เมื่อผู้เสียหายไม่ติดไจว่ากล่าวคดีแล้ว โจทขอถอนฟ้องไป อนุญาตและจึงสั่งไห้คดีเส็ดเด็ดขาดฉเพาะคดีส่วนตัวและจำหน่ายคดีจากสารบบ
ต่อมาอัยการโจทยื่นคำร้องว่าคดีนี้โจทได้ฟ้องขอไห้สาลลงโทสจำเลยตามมาตรา ๒๗๐ ซึ่งเปนความผิดอาญาแผ่นดินไว้ด้วย และโจทมิได้ถอนฟ้องไนความผิดบทนี้ ขอไห้สาลเรียกจำเลยมาพิจารนาพิพากสาไนความผิดนั้นไห้เส็ดไปด้วย
สาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อคดีเด็ดขาดเช่นนี้แล้ว โจทจะขอไห้กลับรื้อขึ้นพิจารนาอีกไม่ชอบด้วยวิธีพิจารนา จึงไห้ยกคำร้อง
โจทอุธรน์ สาลอุธรน์วินิจฉัยคำสั่งของสาลอุธรน์ที่ว่า “จึงสั่งไห้คดีเส็ดเด็ดขาดฉเพาะคดีส่วนตัว”ซึ่งหมายถึงขอถอนฉเพาะคดีส่วนตัว จึงพิพากสาไห้ยกคำสั่งสาลชั้นต้น ไห้สาลชั้นต้นพิจารนาข้อหาของโจทถานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามมาตรา ๒๗๐ แล้วพิพากสาต่อไปตามรูปความ
จำเลยดีกา สาลดีกาเห็นว่า การที่สาลสั่งว่า” อนุญาตและไห้คดีเส็ดเด็ดขาดฉเพาะคดีส่วนตัว” ต้องเข้าใจว่าสาลอนุญาตไห้ถอนฟ้องฉเพาะส่วนที่เปนคดีส่วนตัวเท่านั้นหาไช่ไห้ถอนฟ้องทั้งหมดไม่ เมื่อเปนเช่นนี้ข้อฟ้องตามมาตรา ๒๗๐ ซึ่งเปนอาญาแผ่นดิน จึงยังหยู่พิพากสายืนตาม