คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9499/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดทรัพย์จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาด และปรากฏในชั้นการจดทะเบียนโอนที่ดินให้ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดว่า ศาลได้มีคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ ก. พร้อมรับชำระราคา หากไม่จดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ดังนี้ แม้ ก. จะเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 แต่ไม่ปรากฏว่า ก. ได้ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินเข้ามาในคดี ทั้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 288 และ 289 เจ้าหนี้สามัญจะบังคับคดีให้กระทบกระทั่งถึงสิทธิของเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้นไม่ได้ โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนองซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีหลักประกันพิเศษและตามมาตรา 287 บุริมสิทธิที่จะใช้ได้ก่อนสิทธิจำนองจะต้องเป็นบุริมสิทธิที่ได้จดทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 285 และ 286 แล้วเท่านั้น การบังคับคดีของโจทก์ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของ ก. เมื่อโจทก์บังคับคดีโดยชอบ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์และดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๑๘๑ และ ๗๑๘๒ ตำบลวัดท่าพระ (เกาะท่าพระ) อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๓ ออกขายทอดตลาด จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๑ ในราคา ๙,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยชำระราคาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีครบถ้วน
ต่อมาจำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลแพ่งธนบุรีและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่อาจบังคับคดียึดทรัพย์จำนองในคดีนี้ให้กระทบกระทั่งสิทธิของบริษัทบางกอก คริสมัส เดคโคเรชั่น เอ็กซปอร์ต จำกัด ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗ จึงให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดำเนินไปแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้แก่ผู้ซื้อ สำหรับโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง ๕ ข้อ ๓ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กับให้ยกคำแถลงของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นที่ว่า โจทก์มีสิทธิรับเงินจากการขายทอดตลาดนั้นเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า ปัญหานี้โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นยกคำแถลงของโจทก์ที่ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์เป็นการไม่ชอบ เพราะบริษัทบางกอก คริสมัส เด็คโคเรชั่น เอ็กซปอร์ต จำกัด ไม่ชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินตามคำพิพากษาเป็นเวลาเกือบปีแล้ว แสดงว่าบริษัทดังกล่าวสละสิทธิที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามคำพิพากษา ทั้งผู้ซื้อทรัพย์ในคดีนี้เป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับโอนที่ดินที่ขาย เพราะการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กระทำโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ทั้งศาลก็มิได้มีคำสั่งให้เพิกถอนแต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินจากการขายทอดตลาดชำระหนี้ทั้งหมด ซึ่งเห็นได้ว่าอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมีประเด็นสำคัญว่าโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับเงินจากการขายทอดตลาดชำระหนี้หรือไม่ อันเป็นประเด็นตรงตาม ที่โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นไว้ ส่วนเหตุผลที่โจทก์อ้างว่าบริษัทบางกอก คริสมัสฯ สละสิทธิที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นเป็นการอ้างเพื่อประกอบเหตุผลว่าผู้ซื้อทรัพย์ได้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดที่ดินโดยชอบ สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินจากการขายทอดตลาดย่อมมีอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นนั้น เป็นการไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเพื่อให้คดีเสร็จไปโดยรวดเร็วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยใหม่ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุที่จะเพิกถอนการบังคับคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จำนองได้ฟ้องบังคับจำนองเป็นคดีนี้ เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้อง จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์ก็ได้ขอหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดโดยไม่ปรากฏว่าขั้นตอนบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยประการใด แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในชั้นการจดทะเบียนโอนที่ดินให้ผู้ซื้อทรัพย์ว่า บริษัทบางกอก คริสมัสฯ เป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวได้ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินเข้ามาในคดีนี้แต่ประการใด ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗ ซึ่งบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา ๒๘๘ และ ๒๘๙ บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย” ก็คงมีความหมายถึงการที่เจ้าหนี้สามัญจะบังคับคดีให้กระทบกระทั่งถึงสิทธิของเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้นไม่ได้เท่านั้น แต่คดีนี้โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนองซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีหลักประกันพิเศษ และตามมาตรา ๒๘๗ ดังกล่าวบุริมสิทธิที่จะใช้ได้ก่อนสิทธิจำนองจะต้องเป็นบุริมสิทธิที่ได้จดทะเบียนแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๕ และ ๒๘๖ เท่านั้น บริษัทบางกอก คริสมัสฯ เป็นเพียงผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ซึ่งเป็นสิทธิอื่น ๆ ตามมาตรา ๒๘๗ ดังกล่าว และเป็นสิทธิที่ยังมิได้จดทะเบียนจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองอยู่แล้ว การบังคับคดีของโจทก์จึงไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของบริษัทบางกอก คริสมัสฯ แต่อย่างใด เมื่อโจทก์บังคับคดีโดยชอบและไม่กระทบถึงสิทธิอื่น ๆ จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการบังคับคดีของโจทก์ได้ และเมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ประการอื่นอีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ และดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๑๘๑ และ ๗๑๘๒ ตำบลวัดท่าพระ (เกาะท่าพระ) อำเภอบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ให้แก่จำเลยที่ ๒ ผู้ซื้อทรัพย์ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share