คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะมิได้ยกเรื่องฟ้องซ้ำเป็นข้อต่อสู้ไว้แต่เดิมศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยในคดีก่อนจนศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนั้นไปแล้วโจทก์นำคดีเรื่องนี้มาฟ้องเรียกทรัพย์รายเดียวกันคืนจากจำเลยอีก เป็นฟ้องซ้ำ (อ้างฎีกาที่ 54/2494)
โจทก์จำเลยและนายสร่างได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยยอมคืนทรัพย์ให้โจทก์ในเมื่อนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์ และศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามนั้นแล้ว เมื่อนายสร่างไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส โจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับตามคำพิพากษาเดิมนั้นเท่าที่จะพึงบังคับได้ สิทธิของโจทก์ที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนทรัพย์ยังคงมีอยู่ไม่ใช่ต้องนำคดีมาฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้แต่งงานกับนายสร่าง บุตรจำเลยและได้ไปอยู่บ้านจำเลย กับได้ฝากทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้อง รวมราคา 2,490 บาท ไว้กับจำเลยต่อมาจำเลยพาลทะเลาะวิวาทกับโจทก์จนโจทก์ต้องออกจากบ้านจำเลย โจทก์ทวงทรัพย์ที่ฝากไว้ จำเลยไม่ยอมคืนและโจทก์เคยฟ้องเรียกทรัพย์รายนี้จากจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้วในคดีนั้นนายสร่างบุตรจำเลยได้เข้าเป็นจำเลยร่วม โจทก์จำเลยและนายสร่างทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล โดยจำเลยยอมคืนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องให้โจทก์ในเมื่อนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์แล้ว แต่จนบัดนี้นายสร่างไม่ยอมจดทะเบียนสมรสตามสัญญายอมความ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนทรัพย์ตามฟ้องให้โจทก์ถ้าไม่สามารถคืนได้ให้ใช้เงิน 2,490 บาท

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้ฝากทรัพย์ไว้กับจำเลย

ศาลชั้นต้นฟังว่า บุตรจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ตามสัญญายอม จำเลยก็เลยถือโอกาสไม่คืนทรัพย์ให้โจทก์ ทรัพย์ที่โจทก์ตกอยู่ที่จำเลย พิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์ให้แก่โจทก์ ถ้าคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคาทรัพย์ 2,490 บาท แก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เคยฟ้องเรียกทรัพย์ที่ฝากจำเลยไว้คืนครั้งหนึ่งแล้วในคดีก่อนจนได้ทำสัญญายอมความกัน ถ้าฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญายอมนั้น ก็ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามสัญญายอมในคดีนั้นเท่าที่จะพึงบังคับได้ ไม่ใช่มาฟ้องเป็นคดีใหม่พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาว่า

ก. เรื่องฟ้องซ้ำ จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ ศาลไม่ควรยกขึ้นวินิจฉัย

ข. โจทก์ไม่อาจบังคับตามสัญญายอมในคดีก่อนได้ ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องโจทก์

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วตามฎีกา ข้อ ก. แม้จำเลยจะมิได้ยกเรื่องฟ้องซ้ำเป็นข้อต่อสู้ไว้แต่เดิม แต่เป็นเรื่องเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยฯ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง และทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยในคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องเรียกจากจำเลยครั้งหนึ่งแล้วตามคดีแพ่งแดงที่ 75/2498 จนโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน นับว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดเกี่ยวกับทรัพย์รายพิพาทนี้ไปแล้วการที่โจทก์นำคดีเรื่องนี้มาฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยอีกจึงเป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 อ้างฎีกาที่ 54/2494

ตามฎีกา ข้อ ข. ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อในคดีก่อน โจทก์จำเลยและนายสร่างได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล โดยจำเลยยอมคืนทรัพย์ให้โจทก์ในเมื่อนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์แล้ว และศาลก็ได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับตามคำพิพากษานั้นเท่าที่จะพึงบังคับได้ถ้านายสร่างไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส สิทธิของโจทก์ที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนทรัพย์ก็ยังคงมีอยู่

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share