คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารที่ไม่ระบุชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน ไม่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน จะละไว้ในฐานที่เข้าใจไม่ได้
หนังสือรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสดุดหยุดลง แต่ไม่เปลี่ยนสภาพของหนี้ ไม่ทำให้กำหนดอายุความเปลี่ยนไป
หนี้ค่าซื้อของที่พ่อค้าขายเชื่อให้พ่อค้าไปขายต่อไปมีอายุความ 2 ปีไม่ใช่เพื่ออุตสาหกรรมของลูกหนี้

ย่อยาว

คดีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 26,694 บาท 50 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องโดยอ้างว่าจำเลยได้ซื้อเชื่อผ้าไป 2 ครั้ง ๆ แรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2495 เป็นเงิน 10,844 บาท 50 สตางค์ ครั้งหลังเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2495 เป็นเงิน 15,850 บาท ทั้งสองครั้งจำเลยได้ทำใบสัญญาชำระเงินให้โจทก์ยึดถือไว้

จำเลยแก้ว่า จำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ค่าซื้อเชื่อผ้าดังฟ้องใบสัญญาชำระเงินทั้ง 2 ฉบับ ที่โจทก์กล่าวอ้างไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย ๆ ไม่เคยลงลายมือชื่อในสัญญาให้โจทก์ จำเลยชื่อวารัชคารไม่ใช่ วาร์ซคาร์ สัญญาทั้ง 2 ฉบับ โจทก์ทำขึ้นเพื่อฉ้อฉลจำเลยเป็นโมฆะแต่จะอย่างไรก็ตามจำเลยตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิจารณาได้ความว่า จำเลยได้ซื้อผ้าโจทก์ไป 2 ครั้งจริงดังโจทก์ฟ้อง ซึ่งการซื้อผ้านี้เป็นการซื้อเชื่อทั้ง 2 ครั้งและจำเลยได้ลงลายมือชื่อในเอกสาร ป.1 และ ป.2 ให้โจทก์ไว้แต่หนี้ 2 รายที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นหนี้ค่าซื้อเชื่อผ้า คำนวณระยะเวลาตามที่โจทก์ฟ้องแล้วเกิน 2 ปี คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้หนี้รายนี้ไม่ได้ตามข้อตัดฟ้องของจำเลย จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนเรื่องนี้ และได้ฟังคำแถลงการณ์ด้วยวาจาของทนายโจทก์แล้ว ปรึกษาเห็นว่า เอกสารหมาย ป.1 และ ป.2 นั้นหาเป็น ตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ เพราะขาดคุณลักษณะในประการสำคัญที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 983(5) คือชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงิน ซึ่งคุณลักษณะข้อนี้ เป็นรายการที่จะต้องให้ปรากฏในตั๋วที่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน จะละไว้ในฐานที่ควรเข้าใจเอาได้ดังโจทก์กล่าวหาได้ไม่ อันปัญหาข้อนี้เป็นการบิดเบือนของโจทก์ไปเอง แท้จริงแล้วปรากฏตามคำโจทก์เองว่า โจทก์จำเลยรู้จักกันมานานซื้อขายติดต่อกันเสมอการซื้อเชื่อผ้าตามที่โจทก์ฟ้องนี้ ก็ไม่ปรากฏข้อตกลงกันเป็นพิเศษอย่างใดเป็นเพียงธรรมดา และกระทำหลักฐานกันไว้ก็เพียงธรรมดา การที่ใช้แบบพิมพ์ของร้านโจทก์ก็เพียงเอามาใช้แทนกระดาษเปล่า เพื่อให้จำเลยลงลายมือชื่อรับรองจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันอยู่เท่านั้น หาได้มีเจตนาหรือข้อตกลงอย่างใดที่จะต้องให้จำเลยทำเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ เหตุนี้ จึงมิได้กรอกรายการอันเป็นสารสำคัญของการทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้ถูกต้องเรียบร้อยตามความจำเป็นที่จะต้องพึงกระทำ ยิ่งกว่านั้น ถ้าจะพิจารณาคำฟ้องก็ตาม คำแถลงของโจทก์เองฉบับลงวันที่ 26 มกราคม 2499 ก็ตาม ก็จะเห็นได้อย่างชัดทีเดียวว่า การเป็นดังที่กล่าวนี้

มีข้อสำคัญตามฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งว่า หนี้รายนี้ได้เปลี่ยนแปลงสภาพหรือรับสภาพหนี้ ข้อนี้หาได้มีวิธีการและลักษณะการแปลงหนี้ตามกฎหมายอย่างใดไม่ และก็ด้วยกฎหมายดังกล่าวแล้วตอนต้นส่วนที่ว่าเป็นการรับสภาพหนี้ก็มิได้เป็นไปตามกฎหมาย กระนั้นก็ตามถ้าว่าถึงการรับสภาพหนี้แล้ว หนี้นั้นก็คงเดิม กล่าวคือ คงเป็นหนี้ค่าซื้อเชื่อผ้าอยู่นั่นเอง หาได้กลับกลายเป็นอื่นไปได้ไม่ และนับแต่วันที่ลงไว้ในเอกสาร ป.1 ป.2 จนถึงวันฟ้องก็เกิน 2 ปี

ดังนี้ ฎีกาของโจทก์จึงไม่มีปัญหาใดที่จำเป็นจะต้องยกมากล่าวคงเหลือปัญหาสุดท้ายที่โจทก์ยังเถียงต่อไปว่า หนี้รายนี้เป็นหนี้เพื่ออุตสาหกรรมของลูกหนี้ มีอายุความ 5 ปี ตามเหตุผลของโจทก์ที่ยกขึ้นกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นการขายส่ง ไม่ใช่การขายปลีก การขายส่งเป็นอุตสาหกรรมการขายปลีกเป็นการค้า ซึ่งโจทก์ได้อ้างหลักฐานที่มาในการวางหลักเช่นนี้ยืดยาว แต่ คำว่า อุตสาหกรรมนี้ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 953/2478 รูปคดีที่ปรากฏว่า จำเลยเป็นพ่อค้าขายผ้า ซื้อเชื่อผ้าของโจทก์ไปจำหน่ายเพียงปริมาณที่ปรากฏ ศาลฎีกาก็ยังไม่เห็นว่า ลักษณะการเช่นนี้จะเป็นอุตสาหกรรมไปได้ดังโจทก์อ้าง

ด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น ให้ยกเสียโดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าทนายชั้นนี้เป็นพับ

Share