แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นายสิบและพลตำรวจสงสัยว่า จำเลยจะกินสุราเถื่อนในเวลาค่ำคืน จึงเข้าไปเพื่อจะจับกุมโดยไม่มีหมาย ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าและตำรวจไม่มีอำนาจตามขึ้นไปจับจำเลยบนเรือนอันเป็นที่ระโหฐาน เพราะไม่ใช่กรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง หากตำรวจขืนขึ้นไปจับจำเลย ๆ ทำร้ายเอา ก็ไม่เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๒๒ เม.ย.๙๘ เวลากลางคืน จำเลยบังอาจใช้สากกระเดื่องทำร้าย ส.ต.ท.ธีระวุฒิกับพวก เพื่อขัดขวางการเข้าจับกุมจำเลยข้อหาเมาสุรา ผลที่สุด พลฯแสวงถูกสากกระเดื่องที่จำเลยใช้ตีที่ศอกและโดนนิ้วก้อยขวาบาดเจ็บ โดยเจตนาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้จับจำเลย
จำเลยปฏิเสธ
ศาลจังหวัดภูเขียวและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลล่างว่า เหตุเกิดบนพื้นดินนั้นตำรวจเพียงแต่สงสัยว่าจำเลยจะกินสุราเถื่อนเข้าไปถามเพื่อจะจับ จำเลยผลักพลฯ กองตกน้ำแล้วใช้สากกระเดื่องตีพลฯศักดิ์ ดังนี้ ถือว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำของจำเลยเป็นการต่อสู้ขัดขวางและทำร้ายพลฯกองกับพลฯศักดิ์ ลงโทษจำเลยไม่ได้ และเพียงแต่ตำรวจสงสัยว่าจำเลยจะกินสุราเถื่อน เข้าไปเพื่อจะจับ อันเป็นเหตุให้จำเลยทำร้ายนั้น เรียกไม่ได้ว่าเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า และการกระทำตอนบนเรือนโดยจำเลยถือสากกระเดื่องวิ่งขึ้นไปบนเรือนนั้น พลฯกองกับพลฯแสวงตามขึ้นไปจับ จำเลยทำร้ายพลฯแสวง ก็ไม่ใช่กรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งอันจะต้องปฏิบัติการทันทีในที่ระโหฐานในเวลาค่ำคืน ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา ๙๖ (๒) ถือว่าไม่มีอำนาจเข้าไปจับ เมื่อจำเลยใช้สากกระเดื่องทำร้ายพลฯแสวง จึงไม่เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานพิพากษายืน