คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในเรื่องค่ารักษาทรัพย์นั้นควรที่จะได้ตกลงกำหนดกันไว้แล้วตั้งแต่แรกพร้อมด้วยการรับรู้ของฝ่ายที่นำยึดเมื่อมิได้มีการตกลงกำหนดกันไว้ โดยปกติผู้รักษาทรัพย์ก็ควรที่จะได้ค่ารักษาทรัพย์บ้างตามจำนวนเงินที่ศาลเห็นสมควร
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รักษาทรัพย์ที่ถูกยึดกับโจทก์ผู้นำยึดต่างโต้เถียงกันในเรื่องค่ารักษาทรัพย์ที่ถูกศาลสั่งยึดและมิได้ปรากฏว่ามีการรับรองกันในความข้อใด แม้ความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งเป็นคนกลางที่ใกล้ชิดกับความจริง ก็ไม่มีปรากฏในสำนวนจึงไม่มีข้อเท็จจริงประการใดในสำนวนเลยที่จะเป็นหลักเกณฑ์ในการคำนวณว่า มากน้อยเพียงใดจึงจะเป็นจำนวนเงินที่สมควรเช่นนี้ ศาลต้องดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องในเรื่องค่ารักษาทรัพย์แล้วสั่งตามรูปคดี

ย่อยาว

เจ้าพนักงานบังคับคดี ยึดทรัพย์ชั่วคราว คือรถยนต์ 1 คัน ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของจำเลยและมอบทรัพย์ดังกล่าวให้นายวิชิตผู้ร้อง เป็นผู้รักษาไว้โดยมิได้ตกลงกำหนดค่ารักษาต่อกันไว้ประการใดต่อมาโจทก์ได้รับทรัพย์นี้เอามารักษาไว้เองตามคำสั่งศาลนายวิชิต ผู้ร้อง จึงร้องขอเงินค่ารักษาโดยอ้างว่าทรัพย์อยู่ในป่าที่กันดาร ต้องจ้างคนดูแลรักษาเดือนละ 300 บาท โจทก์โต้แย้งว่าเกินสมควร และขอคิดให้เพียงเดือนละ 30 บาทไม่เป็นที่ตกลงกันได้ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้ผู้ร้องไปจัดการกันเอาเอง

ผู้ร้องอุทธรณ์คัดค้านว่า เป็นเรื่องของศาลและเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลที่จะกำหนดและจ่ายเงินค่ารักษาให้แก่ผู้ร้องตามที่พิจารณาเห็นสมควร ผู้ร้องไม่อาจจะไปฟ้องร้องเอาจากโจทก์ได้โดยอาศัยเหตุผลประการใด

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งกำหนดจำนวนเงินค่ารักษาทรัพย์ให้ผู้ร้องตามที่เห็นสมควร

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่ารักษาให้ผู้ร้องเดือนละ 30 บาท ตั้งแต่วันรักษา ถึงวันที่โจทก์รับเอาทรัพย์มารักษา

ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ค่ารักษาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้นั้นน้อยไป

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์ครั้งก่อน ผู้ร้องมิได้ขอให้ศาลอุทธรณ์ไต่สวน แต่ขอให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เป็นผู้ชี้ขาดจำนวนเงินค่ารักษาตามแต่จะเห็นสมควร ซึ่งเท่ากับมอบอำนาจสิทธิขาดให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดแล้ว ดังนั้นเมื่อศาลได้พิจารณาถึงสภาพของทรัพย์ที่รักษาและเห็นสมควรกำหนดค่ารักษาให้เดือนละศาลอุทธรณ์เห็นว่ายังไม่ควรแก้ไข พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในเรื่องค่ารักษาทรัพย์นั้น ควรที่จะได้ตกลงกำหนดตั้งแต่แรก พร้อมด้วยการรับรู้ของฝ่ายที่นำยึดก็จะตัดปัญหาข้อยุ่งยากลงไปได้มาก เรื่องนี้มิได้มีการตกลงกำหนดกันไว้ โดยปกติผู้รักษาทรัพย์ก็ควรที่จะได้ค่ารักษาตามจำนวนเงินที่ศาลเห็นสมควร

สำนวนคดีเรื่องนี้ ผู้ร้องกับโจทก์ต่างโต้เถียงข้อเท็จจริงกันอยู่ มิได้ว่ามีการรับรองกันในความข้อใด แม้ที่สุดความเห็นของเจ้าพนักงานบังคับคดีคนกลางที่ใกล้ชิดกับความจริงเหล่านี้ก็ไม่ปรากฏในสำนวน จึงไม่มีข้อเท็จจริงสำนวนเลยที่จะเป็นหลักเกณฑ์ในการคำนวณว่ามากน้อยเพียงใดจึงมีเงินที่สมควร

ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในชั้นอุทธรณ์ครั้งก่อนผู้ร้องมิได้ขอให้เท่ากับมอบอำนาจสิทธิขาดให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าอุทธรณ์ในเป็นเรื่องคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องไปว่ากล่าวกับโจทก์เอาเองว่าเป็นไม่ถูกต้องเพราะผู้ร้องไม่อาจไปฟ้องร้องเอากับโจทก์เองได้ และเป็นกรณีที่ศาลสั่งให้ได้เอง ซึ่งเป็นปัญหาคนละประเด็นกันทีเดียว จะนำเอาข้ออุทธรณ์ครั้งก่อนผู้ร้องไม่ติดใจให้ศาลไต่สวนแล้วเช่นนั้น ไม่ได้

ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องในเรื่องค่ารักษาทรัพย์นี้แล้วสั่งใหม่

Share