คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 2 สมคบกันลักทรัพย์. ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335(7)
จำเลยที่ 2 รับสารภาพว่าทำการลักทรัพย์แต่ผู้เดียวไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ 1
แต่ศาลจดรายงานพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 รับสารภาพตลอดข้อหาและให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งปฏิเสธ
เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน คดีก็ฟังได้เพียงว่า จำเลยที่2 ลักทรัพย์แต่ผู้เดียว ตามมาตรา 334 คงลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ตาม มาตรา334 เท่านั้นโดยเป็นที่เห็นได้ว่าข้อความที่ศาลจดไว้ในรายงานพิจารณานั้นเป็นถ้อยคำของศาลเองมิใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 ขอให้การใหม่ เพราะไม่มีข้อความใดว่าจำเลยที่ 2 ขอให้การใหม่สละข้อต่อสู้ที่ให้การไว้แต่เดิมเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 2 สมคบกันลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7), 83

จำเลยที่ 1 ปฏิเสธ

จำเลยที่ 2 รับสารภาพแต่กล่าวว่า ได้ทำการลักทรัพย์ผู้เดียวโดยจำเลยที่ 1 มิได้ลักด้วย

ศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีใหม่ และตัดสินคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ที่รับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(7), 83 จำคุก 3 ปี รับลดกึ่งตาม มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอลดหย่อนผ่อนโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นวางโทษจำเลยที่ 2 ตาม มาตรา 335(7) นั้นยังไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยที่ 2 ว่าทำการลักแต่ผู้เดียว ซึ่งเป็นความผิดตาม ม.334 จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 2 ผิด มาตรา 334 จำคุก 2 ปี ลดรับกึ่งตาม มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี

โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ควรมีผิดตาม ม. 335(7) เพราะจำเลยรับสารภาพตลอดข้อหา ดังปรากฎในรายงานพิจารณาลงวันที่ 6 สิงหาคม 2500

ศาลฎีกาพิเคราะห์รายงานพิจารณาลงวันที่ 6 สิงหาคม 2500 แล้ว เห็นว่าข้อความที่ศาลจดว่า จำเลยที่ 2 รับสารภาพตลอดข้อหานั้นเป็นถ้อยคำของศาลเอง มิใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 ขอให้การใหม่ เพราะไม่มีข้อความใดว่าจำเลยขอให้การใหม่ สละข้อต่อสู้ที่ให้การไว้แต่เดิมเลย ฉะนั้น เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 ทำผิดแต่ผู้เดียว

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share