แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การกระทำความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามป.อ. มาตรา 137 กับความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชนตามพ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14(1) และฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตามป.อ. มาตรา 267 ที่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวกันที่จะให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้ถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2547 เวลากลางวันจำเลยกับนางศิริพรหรือนางสาวอำไพ (ที่ถูก อำไพวัน) นันทะไชหรือนันทไชย พวกของจำเลย ซึ่งแยกไปดำเนินคดีต่างหากที่ศาลจังหวัดตะกั่วป่า ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายเพชรรัฐเจ้าพนักงานว่านางสาวอำไพวัน สัญชาติลาว คือ นางศิริพรภริยของจำเลย ซึ่งอาจทำให้นายเพชรรัฐทายาทของนางศิริพรหรือประชาชนได้รับความเสียหายและจำเลยกับพวกร่วมกันแสดงตนต่อนายเพชรรัฐเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองซึ่งทำหน้าที่ฝ่ายทะเบียนราษฎร์ของที่ว่าการอำเภอปะนาเระซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการออกบัตรประจำตัวประชาชน ว่านางศิริพรซึ่งเป็นภริยาของจำเลยและพวกของจำเลยได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนสูญหาย ซึ่งจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ ความจริงนางศิริพรภริยาของจำเลยได้เสียชีวิตไปแล้ว และพวกของจำเลยเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาว เป็นเหตุให้นายเพชรรัฐ หลงเชื่อสั่งให้นายบือราเฮงผู้ใต้บังคับบัญชาจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวลงในบันทึกการรับแจ้งเอกสารเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชนสูญหายหรือถูกทำลาย แบบ บ.ป.7 อันเป็นเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานแสดงสถานะของบุคคลและถิ่นที่อยู่ของบุคคลประกอบการพิจารณาอนุญาตทำบัตรประจำตัวประชาชนของพวกของจำเลยเพื่อให้ที่ว่าการอำเภอปะนาเระออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่พวกของจำเลย ซึ่งความจริงพวกของจำเลยเป็นบุคคลต่างด้าวใช้ชื่อว่านางสาวอำไพวันมิใช่นางศิริพร และบัตรประจำตัวประชาชนมิได้สูญหาย โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันนำเอาบันทึกการรับแจ้งเอกสารเกี่ยวกับบัตรประชาชนสูญหายหรือถูกทำลายแบบ บ.ป.7 ออกโดยที่ว่าการอำเภอปะนาเระ ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่มีข้อความอันเป็นเท็จมาแสดงต่อนายเพชรรัฐ เพื่อขอมีบัตรประจำตัวประชาชนใหม่แทนบัตรประจำตัวประชาชนเก่าที่สูญหาย จนเป็นเหตุให้ที่ว่าการอำเภอประนาเระออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่พวกของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 83, 91 พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 4, 14
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 4, 14 (1) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานร่วมกันแจ้งข้อความหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน จำคุก 2 ปี และปรับ 30,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน ภายในกำหนดเวลาคุมประพฤติ หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันแจ้งข้อความหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชนกับฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันแจ้งข้อความหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชนและฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายบทนั้น เห็นว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อนายเพชรรัฐเจ้าพนักงานว่า นางสาวอำไพวันเชื้อชาติลาว สัญชาติลาว คือนางศิริพรภริยาของจำเลย หลังจากนั้นในวันเดียวกันและเวลาต่อเนื่องกันจำเลยกับพวกร่วมกันแสดงตนต่อนายเพชรรัฐ เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองซึ่งทำหน้าที่ฝ่ายทะเบียนราษฎร์ของที่ว่าการอำเภอปะนาเระซึ่งมีหน้าที่ในการออกบัตรประชาชนว่านางสาวอำไพวัน คือนางศิรพรและบัตรประจำตัวประชาชนสูญหาย ทำให้นายเพชรรัฐสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาจดข้อความลงในบันทึกการรับแจ้งเอกสารเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชนสูญหายหรือถูกทำลายอันเป็นเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานแสดงสถานะของบุคคลหรือถิ่นที่อยู่ของบุคคลประกอบการพิจารณาอนุญาตทำบัตรประจำตัวประชาชนของพวกของจำเลย แล้วร่วมกันนำบันทึกดังกล่าวแสดงต่อนายเพชรรัฐเพื่อขอมีบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาเดียวกันที่จะให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้พวกของจำเลยเท่านั้น ความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน กับความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน และฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยสองกรรมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นเห็นว่า บัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารสำคัญของทางราชการที่ออกให้เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการแสดงตนของบุคคล การที่จำเลยกับพวกแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่า นางสาวอำไพวันคือนางศิริพรและบัตรประจำตัวประชาชนสูญหายเพื่อให้เจ้าพนักงานออกบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ให้แก่นางสาวอำไพวัน ซึ่งเป็นคนต่างด้าว ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ราชการ และอาจสร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตทั่วไปที่จำเลยกับพวกอาจนำบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ไปใช้แอบอ้าง แม้จำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนหรือมีเหตุอื่นตามที่จำเลยอ้างในฎีกา ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ.2526 มาตรา 14 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9