คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยขอสัญญากู้ที่ทำให้ผู้ให้กู้ไว้มาดูแล้วฉีก แต่ผู้ให้กู้และผู้อื่นช่วยกันแย่งไว้ทัน จำเลยจึงไม่มีโอกาสทำลายสัญญากู้จนใช้ไม่ได้นั้น เรียกได้ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ให้กู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำลายจนใช้ไม่ได้ผลหรือต้องเอาไปเสีย และเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดแล้ว แม้จำเลยจะชำระเงินกู้ตามสัญญาฉบับนั้นในภายหลัง ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความผิดไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 18 สิงหาคม 2504 เวลากลางวัน จำเลยมีเจตนาทุจริตพูดหลอกลวงนายสุเทพ โพธิรักษ์ ขอดูสัญญากู้ยืมระหว่างนายสุเทพผู้ให้กู้ จำเลยผู้กู้ แล้วจำเลยบังอาจฉีกสัญญากู้นั้นขาดจากกันเป็นหลายชิ้น เป็นการทำที่น่าจะให้เกิดความเสียหายและทำลายเอกสารสัญญากู้ยืมเงินและทรัพย์ของนายสุเทพ เหตุเกิดตำบลบางมด อำเภอราษฎร์บูรณะ ผู้เสียหายร้องทุกข์แล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 188, 341, 458

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลอาญาพิจารณาแล้ว ฟังว่าจำเลยฉีกทำลายสัญญากู้ โดยยังมิได้ชำระเงินให้ผู้เสียหายเป็นผิดฐานทำลายทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 358 เท่านั้น ไม่เข้าเกณฑ์ความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 พิพากษาจำคุก 1 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลอาญา แต่เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทหนักที่สุดตามมาตรา 90 พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น

1. ฎีกาข้อนี้จำเลยเถียงข้อเท็จจริง

2. จำเลยฎีกาว่า องค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188จะต้องเป็นการทำให้เสียหายในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนเรื่องนี้ จำเลยพับหนังสือสัญญากู้ยืมเงินแล้วฉีกเพียงครั้งเดียว และทิ้งไว้ไม่ได้นำติดตัวหนีไป จึงไม่อยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแต่ประการใด ยิ่งกว่านั้นผู้เสียหายได้ฟ้องเรียกเงินทางแพ่ง และก็ได้รับชำระเงินตามสัญญาจากจำเลยครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีความเสียหาย ข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมาขอดูสัญญากู้แล้วฉีก นายสุเทพและผู้อื่นช่วยกันแย่งไว้ทัน จำเลยจึงไม่มีโอกาสทำลายสัญญากู้ฉบับนั้น จนใช้ไม่ได้ เช่นนี้ เรียกได้ว่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุเทพ อันเข้าเกณฑ์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องทำลายจนใช้ไม่ได้ผลหรือต้องเอาไปเสียเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดแล้ว การที่จำเลยชำระเงินกู้ตามสัญญาฉบับนี้ในภายหลังจึงไม่ทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้

3. จำเลยฎีกาว่า จำเลยก็รับว่าได้ฉีกสัญญากู้จริง ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาประเด็นที่ว่าได้มีการชำระหนี้แล้วหรือไม่ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ยอมรับเอาประเด็นที่ว่าจำเลยชำระเงินแล้วหรือไม่มาชี้ขาดในคดีอาญาจึงไม่ถูกต้อง เห็นว่าเรื่องนี้จำเลยนำสืบสู้คดีว่า จำเลยได้ชำระเงินกู้แก่นายสุเทพแล้ว นายสุเทพบอกให้ฉีกหนังสือสัญญาเสีย จำเลยจึงได้ฉีกทิ้งลงใต้ถุน เพราะฉะนั้นคดีจึงมีประเด็นว่าจำเลยได้ชำระเงินกู้หรือไม่ ถ้าจำเลยได้ชำระแล้วจริง การกระทำของจำเลยก็ไม่ผิดศาลอาญาและศาลอุทธรณ์จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้อนี้

ที่จำเลยฎีกาว่า ถ้าหากจำเลยจะมีความผิด ก็ขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดโทษมานั้นชอบแล้วยังไม่มีเหตุแก้ไข

พิพากษายืน

Share