คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 206/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยย้ายภูมิลำเนาไปตั้งอยู่ที่แห่งใหม่ภายหลังที่ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาเดิม ตามฟ้องจึงเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยทราบหมายดังกล่าวแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดและไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ โดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ จึงฟังได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระค่าสินจ้างพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,156,300.80 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 1,027,836 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้4,000 บาท
เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2526 ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเพื่อส่งให้จำเลยต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม 2526 จำเลยยื่นคำร้องว่าที่ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแก่โจทก์นั้น จำเลยไม่ทราบฟ้องของโจทก์เนื่องจากในขณะที่โจทก์ฟ้อง จำเลยกำลังดำเนินการขอเปลี่ยนภูมิลำเนาต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 100/1 ถนนสุขาภิบาล 1แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และจำเลยได้มีหนังสือแจ้งการย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ใหม่ดังกล่าวให้โจทก์ทราบแล้วตามหนังสือลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2525 แต่โจทก์จงใจนำพนักงานไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องที่ภูมิลำเนาเดิมของจำเลย จำเลยจึงไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง เพิ่งทราบจากคำพิพากษาของศาลแพ่งเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2526 โดยเพื่อนนำคำพิพากษามาให้จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ตามคำฟ้องข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของจำเลยมีทางจะชนะคดีโจทก์ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งพิจารณาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208
โจทก์คัดค้านว่า ที่จำเลยกล่าวอ้างว่าคำฟ้องของโจทก์และหลักฐานการส่งของที่โจทก์นำส่งศาลในชั้นพิจารณาไม่ตรงต่อความจริงจำเลยได้ให้โจทก์รับสินค้าไปแก้ไขนั้นเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย ไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นว่าหากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลจำพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้อย่างไรบ้างไม่เป็นการคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ไม่ควรอนุญาตให้พิจารณาใหม่ จำเลยเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทจำกัดสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยซึ่งเป็นภูมิลำเนาต้องถือเอาข้อความในทะเบียนนิติบุคคลของบริษัทจำเลยเป็นหลัก ซึ่งปรากฏตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าจำเลยมีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ที่บ้านเลขที่ 242 ถนนราชวิถี แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในการติดต่อธุรกิจกับจำเลยตลอดมา ดังนั้น การที่โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในคดีนี้ให้แก่จำเลย ณ สำนักงานแห่งใหญ่ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นภูมิลำเนาที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกครั้ง ที่จำเลยว่ามีหนังสือลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2525 แจ้งการย้ายภูมิลำเนาใหม่ให้โจทก์ทราบนั้นไม่เป็นความจริง การนำส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องของโจทก์ให้แก่จำเลยเป็นการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายอันถือว่าจำเลยได้ทราบการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จำเลยจะขอให้พิจารณาใหม่ได้ นอกจากนี้เจ้าพนักงานศาลได้ปิดคำบังคับให้จำเลยทราบไว้ณ สำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลย เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2526 อันมีผลใช้ได้ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2526 ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะยื่นคำขอพิจารณาใหม่ได้ภายในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2526 แต่จำเลยยื่นคำขอพิจารณาใหม่ในวันที่ 2 ธันวาคม 2526 และมิได้แสดงเหตุแห่งการล่าช้าอันเนื่องมาจากพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจรู้ได้ จึงถือว่าจำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ พ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ขอให้ศาลยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยเสีย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องและวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน เป็นการจงใจขาดนัดไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณื
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่บางกะปิก่อนโจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่เคยนำส่งหมายที่ภูมิลำเนาแห่งใหม่ของจำเลย จำเลยไม่ทราบนัด จึงมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่ตามที่จำเลยขอค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้เห็นควรให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้สำนักงานแห่งใหม่ของจำเลยตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนยังคงตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 242ถนนราชวิถี แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ปรากฏตามเอกสารหมายเลข 3 ท้ายคำฟ้อง จำเลยเพิ่งไปยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่โดยย้ายจากที่เดิมไปตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 100/1 หมู่ที่ 6 ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่มเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2526 และทางสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร รับจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2527 ปรากฏาตามเอกสารหมาย จ.15 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาคดีนี้แล้ว จำเลยนำสืบอ้างว่าจำเลยได้ย้านสำนักงานแห่งใหญ่จากบ้านเลขที่ 242 ถนนราชวิถี แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 100/1หมู่ที่ 6 ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2525 ซึ่งเป็นเวลาก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ และจำเลยได้ให้ทนายความของจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงการย้ายที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ พร้อมทั้งให้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบตามหนังสือลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2525 ตามเอกสารท้ายคำร้องของพิจารณาใหม่ นอกจากนนี้ยังเขียนข้อความปิดประกาศไว้ที่ที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่เดิมว่าบริษัทจำเลยจะย้ายไปอยู่ ณ สำนักงานแห่งใหม่ที่บ้านเลขที่ 100/1 หมู่ที่ 6ถนนสุขาภิบาล 1 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และโจทก์ได้ทราบแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือลงวันที่ 30 พฤศจิกายน2525 เป็นหนังสือที่ทางฝ่ายจำเลยทำขึ้นเอง จะทำขึ้นเมื่อใดก็ย่อมทำได้ จำเลยมีแต่นายแพทย์พูนสวัสดิ์ สุทธิมูลนามกรรมการผู้จัดการของจำเลยมาเบิกความ ไม่มีทนายความผู้ที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยให้ทำหนังสือลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2525และเป็นผู้ส่งหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบหรือหลักฐานการรับหนังสือดังกล่าวของโจทก์มาแสดงต่อศาลเพื่อสนับสนุนคำของนายแพทย์พูนสวัสดิ์ ดังนี้คำของนายแพทย์พูนสวัสดิ์จึงเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยและที่จำเลยอ้างว่ายังได้เขียนข้อความเกี่ยวกับการย้ายสำนักงานใหญ่ดังกล่าวข้างต้นปิดประกาศไว้ที่ที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่เดิมด้วยนั้น เห็นว่าถ้าจำเลยเขียนปิดไว้จริงขณะพนักงานเดินหมายของศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์ไปส่งครั้งแรก ก็ต้องเห็นข้อความดังกล่าวและกลับมารายงานต่อศาลตามข้อความที่จำเลยเขียนปิดไว้ แต่ปรากฏตามรายงานการเดินหมายของพนักงานเดินหมายที่นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ของโจทก์ไปส่งให้จำเลยที่ที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่เดิมของจำเลยครั้งแรกที่เสนอต่อศาลมีข้อความเพียงว่า ครั้นถึงสถานที่ดังกล่าวไม่พบบริษัทฯ จำเลย พบแต่ชายคนหนึ่งอายุประมาณ30 ปี แจ้งว่าบริษัทฯ จำเลยได้ย้ายไปจากบ้านนี้แล้ว ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด ไม่ยอมรับหมายไว้แทน จึงส่งหมายให้จำเลยไม่ได้ปรากฏตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2526 และการส่งหมายให้จำเลยในครั้งต่อ ๆ มาพนักงานเดินหมายก็รายงานการเดินหมายต่อศาลเช่นเดียวกับครั้งแรก จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้เขียนข้อความการย้ายสำนักงานแห่งใหญ่ปิดประกาศไว้ที่สำนักงานแห่งใหญ่ เดิมดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ข้ออ้างของจำเลยทั้งหมดจึงไม่น่ารับฟัง ตามหลักฐานในสำนวนปรากฏว่าโจทก์นำพนักงานเดินหมายไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่สำนักงานแห่งใหญ่เดิมที่ปรากฏในหนังสือรับรองการจดทะเบียนของจำเลยในขณะนั้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 68 เมื่อพนักงานเดินหมายส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไม่ได้ และกลับมารายงานต่อศาล โจทก์ได้แถลงยืนยันว่าจำเลยยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ที่เดิมตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองของการจดทะเบียนของจำเลย ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานเดินหมายไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่ ถ้าไม่มีผู้รับให้ปิดพนักงานเดินหมายจึงไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่สำนักงานแห่งใหญ่เดิมอีกครั้งและได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ ที่สำนักงานแห่งใหญ่เดิมของจำเลย และในตอนนัดสืบพยานโจทก์พนักงานเดิมหมายก้ได้ปิดหมายนัดสืบพยานโจทก์ไว้ที่สำนักงานแห่งใหญ่เดิมเช่นเดียวกัน เมื่อครบกำหนด 15 วัน นับแต่วันปิดหมายทั้งสองครั้งดังกล่าว จึงเชื่อว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นได้ว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของการส่งหมายตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ถูกต้องทุกประการ ทั้งปรากฏต่อมาว่าจำเลยเพิ่งไปยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่โดยย้ายจากที่เดิมไปตั้งอยู่ที่แห่งใหม่ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2526 และทางสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครรับจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยเมื่อวันที่ 20 มกราคม2527 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาคดีนี้แล้ว ดังนี้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลยจึงเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยทราบหมายดังกล่าวแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด และไม่ไปศาลในวันนัดสืบพยาน โจทก์โดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ จึงฟังได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ไม่มีเหตุที่จะให้พิจารณาใหม่ และไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นอีกต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ตามที่จำเลยขอศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้เห็นสมควรให้เป็นพับ.

Share