คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารที่ถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว
โจทก์ขุดลำเหมืองจากทางน้ำเพื่อส่งน้ำไปใช้ในการทำนาเมื่อที่ดินของโจทก์มีเนื้อที่ไม่เกินสองร้อยไร่โจทก์ไม่จำต้องขอและได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เสียก่อนตามพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พ.ศ.2482 มาตรา 7 และเมื่อลำเหมืองนี้ผ่านที่ดินซึ่งจำเลยเข้าจับจอง จำเลยถมเหมืองเสียแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยเปิดเหมืองให้โจทก์ใช้น้ำได้ตามปกติ ดังนี้ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ขุดเหมือง โดยไม่ได้รับอนุญาตสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีลำเหมืองเป็นวัตถุประสงค์ผิดกฎหมายเป็นโมฆะ ย่อมฟังไม่ขึ้น
แม้ในตอนท้ายของสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ปลัดอำเภอผู้ทำสัญญาจะได้บันทึกไว้ด้วยว่าคู่กรณียอมไปอำเภอเพื่อลงสารบบความแพ่งและเพื่อเป็นหลักฐานต่อไปก็มิได้หมายความว่าต้องไปลงสารบบเสียก่อน สัญญาจึงจะสมบูรณ์และการที่เมื่อไปอำเภอกันแล้วจำเลยเกิดไม่ยอมปลัดอำเภอจึงจำหน่ายคดีจากสารบบ และบันทึกว่าเปรียบเทียบไม่ตกลงนั้น ก็ไม่ทำให้สัญญาประนีประนอมยอมความเสียไป

ย่อยาว

ได้ความว่า โจทก์มีที่นาประมาณ 160 ไร่ แบ่งให้บุตร 4 คนซึ่งมีนางฉาบรวมอยู่ด้วยทำกิน ในการทำนาในที่นี้โจทก์และบุตรได้จ้างคนขุดลำเหมืองจากลำน้ำบงซึ่งอยู่ตอนเหนือมาสู่ที่ดินโจทก์โดยผ่านที่ดินซึ่งต่อมาในภายหลังเป็นของจำเลย เมื่อจำเลยเข้าจับจองที่ดินซึ่งมีลำเหมืองของโจทก์ไหลผ่าน จำเลยจึงถมลำเหมืองเสียโจทก์จึงไปร้องต่ออำเภอ นายเรียนปลัดอำเภอออกไปตรวจที่พิพาทตามความประสงค์ของโจทก์จำเลย แล้วทำบันทึกเอกสาร จ.1 มีข้อความตอนต้นเกี่ยวกับการสอบถามคู่กรณี แล้วถึงข้อความสำคัญว่า “เมื่อได้ไกล่เกลี่ยแล้ว ได้ตกลงกันดังนี้ นายเภาตกลงยกที่ดินฝั่งตะวันออกของเหมืองทั้งหมดให้เป็นของนางฉาบ แล้วขอที่ดินนางฉาบ 4 ไร่ และจะแบ่งน้ำให้นางฉาบ นายหมวก 1 ส่วน นายเภากับพวก 2 ส่วนนางฉาบตกลงยกที่ดินให้นายเภา 5 ไร่ แล้วขอที่ดินฝั่งตะวันออกของเหมืองซึ่งเป็นของนายเภาทั้งหมดเป็นของตน และขอน้ำเหมือง1 ใน 2 ส่วน นายหมวกตกลงตามที่กล่าวข้างบนนี้ ตามความตกลงของนายเภาและนางฉาบ ที่ดินตรงที่นายเภาถมนี้ นายเภาไม่ต้องถมให้

ทั้งสามคนยอมไปอำเภอเพื่อลงสารบบความแพ่ง เพื่อเป็นหลักฐานต่อไป ฯลฯ” ต่อจากนั้นลงลายมือชื่อโจทก์จำเลย นางฉาบ นายเรียนและพยาน ครั้นต่อมาโจทก์จำเลยไปอำเภอแล้วจำเลยเกิดไม่ยอมนายเรียนจึงจำหน่ายคดีจากสารบบและบันทึกว่าเปรียบเทียบไม่ตกลง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าในที่สุดได้จำหน่ายคดีจากสารบบ ถือได้ว่าคู่ความได้ตกลงยกเลิกข้อตกลงต่าง ๆ หมดแล้ว ไม่มีผลบังคับข้อตกลงตามเอกสาร จ.1 ที่โจทก์อ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นของโจทก์จำเลยเพื่อนำไปสู่การประนีประนอมชั้นอำเภอเท่านั้น พิพากษายกฟ้องโจทก์ (ที่ขอให้บังคับให้จำเลยเปิดลำเหมืองตามสัญญายอม)

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเอกสาร จ.1 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วพิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดลำเหมืองให้โจทก์รับน้ำตามสภาพเดิมตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ขออนุญาตทำเหมืองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการผิดกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น มาตรา 7แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พ.ศ. 2482 บัญญัติว่า ผู้ใดจะทำการชลประทานส่วนบุคคล จะต้องขอและได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เสียก่อน เว้นแต่จะได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์แก่เนื้อที่ไม่เกิน 200 ไร่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า โจทก์ขุดลำเหมืองพิพาทมาสู่ที่ดินของโจทก์ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 160 ไร่ จึงไม่ต้องขอและได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ การขุดลำเหมืองของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง และเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ที่จำเลยฎีกาด้วยว่า โจทก์ขุดลำเหมืองพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาต สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีลำเหมืองเป็นวัตถุประสงค์ผิดกฎหมายเป็นโมฆะนั้น ก็ตกไปด้วย

ที่จำเลยฎีกาว่า เอกสาร จ.1 ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เห็นว่าเอกสารนี้ทำโดยนายเรียนปลัดอำเภอซึ่งออกไปตรวจที่พิพาทตอนต้นได้บันทึกความประสงค์ของโจทก์จำเลย แล้วจึงใช้ถ้อยคำว่า”เมื่อได้ไกล่เกลี่ยแล้ว ได้ตกลงกันดังนี้” ต่อมาก็ได้ระบุข้อตกลงของโจทก์จำเลยโดยชัดแจ้ง แล้วโจทก์จำเลยได้ลงชื่อต่อหน้านายเรียนและพยานเอกสาร จ.1 นี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แล้วแม้ตอนท้ายสัญญาจะมีข้อความว่า คู่กรณียอมไปอำเภอเพื่อลงสารบบความแพ่งเพื่อเป็นหลักฐานต่อไป ก็เห็นได้ชัดว่านายเรียนนัดให้โจทก์จำเลยไปอำเภออีกครั้งหนึ่งเพื่อไปลงสารบบความแพ่งของอำเภอให้เป็นหลักฐานตามระเบียบราชการเท่านั้นและการที่ไปอำเภอแล้วจำเลยเกิดไม่ยอม นายเรียนจึงจำหน่ายคดีจากสารบบ และบันทึกว่าเปรียบเทียบไม่ตกลงนั้น เป็นความคิดของนายเรียนเอง หาทำให้สัญญายอมซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วเสียไปไม่

ผลที่สุดพิพากษายืน

Share