คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2593/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดี จะเข้ามาเป็นคู่ความได้ก็แต่ด้วยการร้องสอดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ถึงหากสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยจะเป็นนิติกรรมอันลูกหนี้ (จำเลย) ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ (ผู้ร้อง) เสียเปรียบ ซึ่งศาลอาจเพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ก็จะต้องฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลนั้น จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนในคดีซึ่งตนมิได้เป็นคู่ความหาได้ไม่

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็ค ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันได้ ศาลจึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ และพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามยอมแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์จำเลยสมยอมกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อฉ้อฉลผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยหรือมีคำสั่งว่านิติกรรมสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกมิใช่คู่ความในคดีนี้บุคคลภายนอกนั้นจะเข้ามาเป็นคู่ความได้ก็แต่ด้วยการร้องสอดดังที่บัญญัติไว้ในบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ แต่กรณีตามคำร้องของผู้ร้องหาต้องด้วยเหตุที่จะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความไม่ ถึงหากจะฟังว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นนิติกรรมอันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งศาลอาจเพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ก็จะต้องฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลนั้น จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนในคดีซึ่งตนมิได้เป็นคู่ความหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share