คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำเหมืองแร่นั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่โดยตรง เจ้าพนักงานผู้พิจารณาเรื่องราวตามพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ ถ้าเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติการไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลย่อมจะไม่พึงใช้อำนาจเข้าไปสอดแทรกแต่ประการใด
การปฏิบัติของเจ้าพนักงานในการพิจารณาเรื่องราวขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทับที่และใช้ดุลพินิจสั่งการอันถือว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินทำเหมืองแร่ 2 แปลง ตั้งอยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมเป็น (ที่ดินมี) ประทานบัตรที่ 5607/6343 และเป็นที่ขังมูลดินทรายของนายเล่ง สุกจั่น ต่อมาโจทก์ทราบว่านายเล่ง สุกจั่น ตายที่ประเทศจีน (ที่ดิน) ประทานบัตรและที่ขังมูลทราย 2 แปลงนี้จึงตกเป็นที่ว่างเปล่า หมดอายุตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. 2461 มาตรา 46 โจทก์จึงยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทับที่ทั้ง 2 แปลงนี้ ต่อโลหกิจจังหวัดสุราษฎร์ธานีโลหกิจจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้รับเรื่องราวของโจทก์และจดทะเบียนแปลงที่ 1 ไว้เป็นเรื่องราวที่ 18/2500 แปลงที่ 2 เป็นเรื่องราวที่ 19/2500 โดยโจทก์ได้วางเงินค่าธรรมเนียมไว้ครบถ้วนแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยโลหกิจจังหวัดสุราษฎร์ธานีเจ้าหน้าที่ตัวแทนของจำเลยทั้งสาม ได้สั่งยกเลิกเรื่องราวที่18/2500 นั้นเสียโจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อกรมโลหกิจจำเลยที่ 2 ๆ ได้แจ้งให้โจทก์ทราบความว่ากระทรวงอุตสาหกรรมเห็นชอบตามที่จังหวัดสั่งยกเลิก กรมโลหกิจมิอาจที่จะสั่งยกเลิกคำสั่งของจังหวัดและการที่จะสั่งให้ประทานบัตรสิ้นอายุหรือสั่งให้ดำเนินเรื่องราวขอประทานบัตรที่ได้สั่งยกเลิกไปแล้ว ก็ย่อมจะทำมิได้ การกระทำของจำเลยทั้งสาม โจทก์ถือว่าร่วมกันมีคำสั่งและกระทำการโดยมิชอบทำให้โจทก์เสียหาย คือ เสียสิทธิที่จะได้รับประทานบัตร ขอให้พิพากษาแสดงว่าเรื่องราวขอประทานบัตรตามฟ้องนั้นเป็นเรื่องราวอันชอบด้วยพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. 2461 มาตรา 46 ให้ศาลสั่งเพิกถอนทำลายคำสั่งยกเลิกของจำเลยทั้งสาม และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันดำเนินการออกประทานบัตรการทำเหมืองแร่ให้โจทก์

จำเลยที่ 2, 3 ขาดนัด จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายและรูปคดีของโจทก์ไม่มีทางที่จะใช้สิทธิทางศาลได้จำเลยที่ 1 ได้สั่งยกเลิกเรื่องราวที่ 18/2500 โดยจำเลยมีอำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเรื่องราวที่ 19/2500 จะได้พิจารณาสั่งยกเลิกต่อไป สิทธิการทำเหมืองแร่เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำก็ได้ หรือจะไม่อนุญาตก็ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับ กับให้การต่อสู้เป็นประการอื่นด้วย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องว่า ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. 2461 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 8 พ.ศ. 2485 แสดงให้เห็นว่าการที่จะอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำเหมืองแร่นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัตินี้โดยตรง และมาตรา 21 ข้อ 3 วรรคสุดท้ายแห่งพระราชบัญญัติ ฉบับ พ.ศ. 2461ก็มีความหมายว่า เจ้าพนักงานผู้พิจารณาเรื่องราวตามพระราชบัญญัตินี้มีอำนาจตามกฎหมายที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ ฉะนั้น เมื่อเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติการไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลย่อมจะไม่พึงใช้อำนาจเข้าไปสอดแทรกแต่ประการใด

โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบความว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นชอบตามที่จังหวัดสั่งยกเลิกเรื่องราวของโจทก์ และได้สั่งให้จังหวัดทำการสอบสวนเรื่องนายเล่งสุกจั่นว่าถึงแก่กรรมไปแล้วจริงหรือไม่ จากการสอบสวนปรากฏว่าบุตรีบุตรเขย ฯลฯ ต่างให้การยืนยันว่า ในขณะนี้นายเล่ง สุกจั่นยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ และไม่มีผู้ใดสามารถนำหลักฐานมาหักล้างคำให้การดังกล่าวได้ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงถือว่านายเล่งสุกจั่น ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนเอกสารที่โจทก์ส่งไปกรมโลหกิจเห็นว่าเป็นแต่เพียงคำให้การเท่านั้นจะเชื่อหรือถือเป็นหลักฐานทางราชการมิได้ ดังนี้ สรุปแล้วได้ความว่า เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ได้สอบสวนเรื่องที่โจทก์ว่านายเล่ง สุกจั่น ถึงแก่กรรมนั้นแล้วเห็นว่าหลักฐานของโจทก์ไม่พอที่จะหักล้างถ้อยคำของญาตินายเล่ง สุกจั่นจึงจะฟังว่านายเล่ง สุกจั่นตายแล้วยังไม่ได้ จึงได้สั่งยกเรื่องราวของโจทก์เสีย แสดงว่าจำเลยได้พิจารณาเรื่องราวของโจทก์และใช้ดุลพินิจภายในขอบเขตของกฎหมาย ฟ้องของโจทก์มิได้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายจำเลยได้ปฏิบัติการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดที่โจทก์จะมาขอสืบพยานว่านายเล่ง สุกจั่น ตายแล้วนั้น จึงเป็นการโต้แย้งความเห็นอันเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานซึ่งได้ปฏิบัติการไปภายในขอบเขตของกฎหมายย่อมทำไม่ได้ดังได้กล่าวแล้ว

เมื่อวินิจฉัยข้ออื่นด้วยแล้ว พิพากษายืน

Share