คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องแปลงหนี้ใหม่ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ จึงไม่ชอบ เมื่อจำเลยฎีกาทำนองเดียวกับที่อุทธรณ์ขึ้นมาอีก จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2538 จำเลยทั้งสองร่วมกันซื้อวัสดุก่อสร้างไปจากโจทก์หลายรายการ รวมเป็นเงิน 190,179 บาท จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์เพียงบางส่วน ยังคงค้างชำระเป็นเงินจำนวน 45,738.68 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองหลายครั้งแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน51,169 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 45,738 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 สั่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากโจทก์รวมเป็นเงิน149,222.20 บาท โจทก์จัดส่งสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ถูกต้องจำเลยที่ 1 จึงแจ้งให้โจทก์มารับสินค้ากลับคืนไป หลังจากนั้นโจทก์ตรวจสอบพบว่านายวิโรจน์ บุญคง เอาสินค้าที่โจทก์จัดส่งให้แก่จำเลยที่ 1 ไปบางส่วน คิดเป็นเงิน 45,738.68 บาท โจทก์ได้ให้นายวิโรจน์ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ต่อโจทก์ แต่ต่อมานายวิโรจน์ผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำคดีนี้มาฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดแทนนายวิโรจน์ ทั้งที่จำเลยทั้งสองมิได้เป็นหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์การที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน45,738 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่28 สิงหาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 28 มีนาคม 2540) ต้องไม่เกิน5,431 บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า จำเลยทั้งสองยกปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าหนังสือรับสภาพหนี้ เอกสารหมาย ล.2 เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ขึ้นอุทธรณ์และฎีกา แต่จำเลยทั้งสองให้การแต่เพียงว่า โจทก์ให้นายวิโรจน์ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย ล.2ไว้ นายวิโรจน์ผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ให้จำเลยทั้งสองรับผิดแทนนายวิโรจน์ โดยฉวยโอกาสที่จำเลยทั้งสองสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเท่านั้นจำเลยทั้งสองมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องแปลงหนี้ใหม่ต่อสู้ไว้ในคำให้การดังนั้นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยให้ จึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าวเมื่อจำเลยทั้งสองฎีกาทำนองเดียวกับที่อุทธรณ์ขึ้นมาอีก จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และยกฎีกาจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share