คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8286/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ครั้งแรกที่ ล. โอนที่ดินมรดกของ ท. มาเป็นของตนในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่นทุกคน แม้จะมีการโอนที่ดินมรดกดังกล่าวมาเป็นของ ล. ในฐานะส่วนตัวแล้วก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครองที่ดินมรดกแทนทายาททุกคนมาเป็นการครอบครองในฐานะส่วนตัวโดยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวเพราะ ล. ยังมิได้บอกกล่าวไปยังทายาททุกคนว่าไม่มีเจตนายึดถือทรัพย์แทนทายาททุกคนต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ทั้งปรากฏว่าก่อนหน้านี้ ล. ได้ถูก ป. ยื่นฟ้องในอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นเรื่องขอแบ่งมรดก คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า ล. ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกับ ส. กับ ป. ทายาทผู้ตายต้องถือว่าครอบครองแทนทายาทของ ส. คำพิพากษาจึงผูกพันล. และจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ล. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ต้องถือว่า ล. ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่นอยู่เช่นเดิม ล. ยังคงมีหน้าที่จะต้องจัดแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนตามสิทธิของทายาทที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้น การจัดการมรดกยังมิได้เสร็จสิ้นจึงจะนำอายุความ 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1733 วรรคสอง มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1552 ให้โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 12 คนละ222 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 13 จำนวน 777.5 ตารางวา หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาตามคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ต่อมานางบังอร ค่องหิรัญ ที่ 1 นางอนันต์ คำป้อม ที่ 2ได้ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ทั้งสิบสาม โดยอ้างว่าผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นบุตรของนางสำเนียงมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าว 222 ตารางวาและผู้ร้องสอดที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญยังหรือสอมีสิทธิได้รับมรดกร่วมกับโจทก์ที่ 12 ซึ่งเป็นบุตร จำนวน 222 ตารางวา ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1542ให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 172.7 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 3ที่ 4 และที่ 5 คนละ 103.6 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 8 ถึงที่ 11 คนละ222 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 12 และผู้ร้องสอดที่ 2 คนละ 55.5 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 13 จำนวน 518.3 ตารางวา ให้ผู้ร้องสอดที่ 1 จำนวน 222ตารางวา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 โจทก์ที่ 9 ถึงแก่กรรมนางสาวประสม ฉิมคราม ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาต

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ที่ 2 ที่ 4 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ถึงที่ 12 และผู้ร้องสอดที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยโจทก์ที่ 2 ที่ 8 ที่ 9 ผู้ร้องสอดที่ 1 และที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา

สำหรับโจทก์ที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ได้ยื่นฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้รับฎีกา และให้ส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลย หากส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วัน เพื่อดำเนินการต่อไปมิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา แต่ปรากฏตามรายงานของเจ้าหน้าที่ลงวันที่ 22ธันวาคม 2542 ว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2542 เจ้าหน้าที่ส่งหมายนัดให้จำเลยไม่ได้เนื่องจากบ้านปิด โจทก์ที่ 4 ที่ 10 ถึงที่ 12 ไม่ได้ยื่นคำแถลงเข้ามาภายใน 15 วันตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับฎีกา จึงเป็นการเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าโจทก์ที่ 4 ที่ 10 ถึงที่ 12 ทิ้งฟ้องฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2),246 และ 247 ให้จำหน่ายฎีกาของโจทก์ที่ 4 ที่ 10 ถึงที่ 12 ออกจากสารบบความของ ศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า นางทิม คำป้อมเจ้ามรดกมีบุตร 6 คน คือนายเปลื้อง นายปลด นายสว่างหรือหว่างนางลำใย นายแป๊ะ และนางสุดใจ คำป้อม ซึ่งทุกคนถึงแก่กรรมไปหมดแล้วโจทก์ที่ 2 เป็นหลานนายปลด โจทก์ที่ 8 และที่ 9 เป็นบุตรนายสว่างผู้ร้องสอดที่ 1 เป็นหลานนายสว่าง ส่วนผู้ร้องสอดที่ 2 เป็นภริยาของนายบุญยังหรือสอ คำป้อม บุตรนายสว่าง โจทก์ที่ 2 ที่ 8 และที่ 9 ผู้ร้องสอดที่ 1 และที่ 2 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางทิมทรัพย์มรดกของนางทิมคือที่ดินโฉนดเลขที่ 1552 เฉพาะส่วน เนื้อที่23 ไร่ 1 งาน 33 ตารางวา หลังจากนางทิมถึงแก่กรรม ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งนายเหลี่ยม คำป้อม บุตรนายแป๊ะเป็นผู้จัดการมรดกของนางทิมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2531 นายเหลี่ยม โอนที่ดินมรดกของนางทิมมาเป็นของนายเหลี่ยมในฐานะผู้จัดการมรดก และในวันเดียวกันก็โอนที่ดินมรดกของนางทิมมาเป็นของนายเหลี่ยมในฐานะส่วนตัวต่อมานายเหลี่ยมถึงแก่กรรม ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยซึ่งเป็นภริยานายเหลี่ยมเป็นผู้จัดการมรดกของนายเหลี่ยม มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 2 ที่ 8 และที่ 9 ผู้ร้องสอดที่ 1 และที่ 2 ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ครั้งแรกที่นายเหลี่ยมโอนที่ดินมรดกของนางทิมมาเป็นของตนในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่นทุกคน แม้จะมีการโอนที่ดินมรดกดังกล่าวมาเป็นของนายเหลี่ยมในฐานะส่วนตัวแล้วก็ตามก็ยังถือไม่ได้ว่าเปลี่ยนเจตนาการครอบครองที่ดินมรดกแทนทายาททุกคนมาเป็นการครอบครองในฐานะส่วนตัวโดยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวยังมิได้เพราะนายเหลี่ยมยังมิได้บอกกล่าวไปยังทายาททุกคนว่าไม่มีเจตนายึดถือทรัพย์แทนทายาททุกคนต่อไปตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ทั้งปรากฏว่าก่อนหน้านี้นายเหลี่ยมได้ถูกนางประเทือง ยี่กัว ยื่นฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 623/2537 ของศาลชั้นต้น เรื่องขอแบ่งมรดกคดีดังกล่าวถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า นายเหลี่ยม คำป้อม ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกับนายสว่างกับนายแป๊ะทายาทผู้ตาย ต้องถือว่าครอบครองแทนทายาทของนายสว่าง จึงผูกพันนายเหลี่ยมและจำเลยซึ่งเป็นทายาทนายเหลี่ยมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145ต้องถือว่านายเหลี่ยมครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่นอยู่เช่นเดิมนายเหลี่ยมยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องจัดแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนตามสิทธิของทายาทที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้นการจัดการมรดกยังมิได้เสร็จสิ้นจึงจะนำอายุความ 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1733 วรรคสอง มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายความแล้วพิพากษายกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและเห็นสมควรส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อให้วินิจฉัยประเด็นข้ออื่นและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาประเด็นแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คดีของโจทก์ที่ 4 ที่ 10ถึงที่ 12 ที่ทิ้งฎีกาและโจทก์ที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 7 และที่ 13 ที่มิได้ฎีกาจึงไม่ถึงที่สุดในการพิพากษาใหม่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงต้องชี้ขาดตัดสินคดีเกี่ยวกับคำฟ้องของโจทก์ ดังกล่าวด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ชอบที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยประเด็นข้ออื่นแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)ประกอบด้วยมาตรา 247 ฎีกาของโจทก์ที่ 2 ที่ 8 และที่ 9 ผู้ร้องสอดที่ 1และที่ 2 ฟังขึ้น”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share