คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7705/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแผ่นปลิวโฆษณาเชิญชวนให้ซื้อรถยนต์ของจำเลยที่ระบุว่ารับโทรศัพท์มือถือฟรี พร้อมประกันภัยชั้น 1 ซึ่งข้อความตามแผ่นปลิวโฆษณาดังกล่าวถือว่าเป็นเงื่อนไขในข้อเสนอขายของจำเลย จำเลยจึงต้องส่งมอบโทรศัพท์มือถือและทำสัญญาประกันภัยชั้นหนึ่งให้ ทั้งต้องดำเนินการเพื่อให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทด้วยตามเงื่อนไขในข้อเสนอขาย เมื่อจำเลยละเลยไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง ทั้งต่อมายังนำรถยนต์พิพาทกลับไปไว้ในความครอบครอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์และต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาทั้งฟ้องคดี จึงถือได้ว่าสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทเลิกกันโดยปริยาย อันมีผลให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคหนึ่ง และจำเลยต้องส่งคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามมาตรา 378(3)
หนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยรถยนต์พิพาทอันจะก่อสิทธิแก่จำเลยที่จะยึดหน่วงรถยนต์พิพาทไว้ต้องเป็นหนี้ที่เกิดจากการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ที่โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยเท่านั้น การชำระเงินดาวน์ของโจทก์ต่อจำเลยหาใช่หนี้ที่จะก่อให้จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาทไม่แม้หากโจทก์เป็นผู้ผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หามีสิทธินำรถยนต์พิพาทกลับมาไว้ในครอบครองเพื่อบังคับให้โจทก์ชำระหนี้โดยไม่มีข้อสัญญากำหนดให้มีสิทธิกระทำได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2539 จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 3 ตกลงขายรถยนต์ยี่ห้อ บี เอ็ม ดับเบิลยู รุ่น 525 ไอ เอ สีน้ำเงิน ให้แก่โจทก์ในราคา1,970,000 บาท โจทก์ตกลงชำระเงินดาวน์ 590,000 บาท โดยวางเงินมัดจำ300,000 บาท ในวันทำสัญญา ส่วนที่เหลืออีก 290,000 บาท โจทก์สั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาทุ่งสง ให้แก่จำเลยทั้งสามราคาส่วนที่เหลือตกลงชำระในวันที่จำเลยทั้งสามจัดการให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัดได้สำเร็จ การซื้อขายดังกล่าวจำเลยทั้งสามตกลงติดตั้งอุปกรณ์ภายในรถยนต์ พร้อมทั้งส่งมอบโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และจัดทำประกันภัยรถยนต์ชั้นหนึ่งให้โจทก์ฟรีเป็นเวลา1 ปี ให้เสร็จสิ้นก่อนที่โจทก์จะทำสัญญาเช่าซื้อ จำเลยทั้งสามส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์แล้วแต่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยทั้งสามดำเนินการตามข้อตกลง แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ประกอบกับรถยนต์คันดังกล่าวมีปัญหาเกี่ยวกับเครื่องยนต์และสี โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสามแก้ไขข้อบกพร่อง จำเลยทั้งสามรับรถยนต์กลับไปแก้ไขเมื่อวันที่ 28 มกราคม2540 แล้วไม่ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์อีกเลย โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสามและให้คืนเงินมัดจำ 300,000 บาท จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 301,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามคืนเช็คธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) สาขาทุ่งสง หมายเลข 2469830 ฉบับลงวันที่ 3 มีนาคม2540 (ที่ถูก 3 มกราคม 2540) จำนวนเงิน 290,000 บาท แก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 301,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง(ฟ้องวันที่ 8 พฤษภาคม 2540) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 3 คืนเช็คของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาทุ่งสง หมายเลขเช็ค 2469830 ฉบับลงวันที่ 3 มกราคม 2540สั่งจ่ายเงิน 290,000 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน182,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์

จำเลยที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่าจำเลยที่ 3 เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทต่อโจทก์และต้องคืนมัดจำให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตัวแทนของจำเลยที่ 3 ตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท ตามเอกสารหมาย จ.3และโจทก์ได้รับมอบรถยนต์พิพาทไว้ในครอบครองในวันทำสัญญาซื้อขายแล้ว จำเลยที่ 3 จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแผ่นปลิวโฆษณาเชิญชวนให้ซื้อรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.7 ที่ว่า “จองวันนี้รับฟรีโทรศัพท์มือถือโทรฟรีทั่วไทย บี.เอ็ม.ดับบลิว/เปอโยต์ ลักกี้เดย์ ทุกรุ่นทุกแบบผ่อนฟรีไม่มีดอกเบี้ย แถมประกันภัยชั้น 1 ฟรี” ซึ่งข้อความตามแผ่นปลิวโฆษณาดังกล่าวถือว่าเป็นเงื่อนไขในข้อเสนอขายของจำเลยที่ 3 เมื่อโจทก์เข้าสนองตอบตามข้อเสนอขาย โดยเข้าทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกับจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 จึงต้องส่งมอบโทรศัพท์มือถือและทำสัญญาประกันภัยชั้นหนึ่งให้แก่รถยนต์พิพาททั้งต้องดำเนินการเพื่อให้โจทก์เข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ด้วย การผ่อนชำระค่าเช่าซื้อโดยไม่มีดอกเบี้ยตามเงื่อนไขในข้อเสนอขายดังกล่าวและต้องส่งมอบรถยนต์พิพาทในสภาพที่ไม่มีความชำรุดบกพร่อง แต่เมื่อโจทก์เข้าทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกับจำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 3 ละเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ให้ถูกต้องครบถ้วน ในวันที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทตามข้อเสนอเชิญชวนที่กำหนดไว้ในแผ่นปลิวโฆษณาแต่อย่างใด ทั้งต่อมายังนำรถยนต์พิพาทกลับไปไว้ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 ไม่ส่งมอบคืนให้โจทก์ได้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาทตามสัญญาซื้อขาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการผิดสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทต่อโจทก์และต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาททั้งฟ้องคดีนี้จึงถือได้ว่าสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทเลิกกันโดยปริยาย อันมีผลให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่งเมื่อจำเลยที่ 3 รับรถยนต์พิพาทกลับคืนมาไว้ในความครอบครองแล้ว จึงมีหน้าที่ต้องส่งคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ อันเนื่องมาจากจำเลยที่ 3 ผิดสัญญาละเลยไม่ชำระหนี้ตามข้อเสนอเชิญชวนไว้ในแผ่นปลิวโฆษณาให้แก่โจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(3)ส่วนการที่โจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาทก่อนที่จำเลยที่ 3 จะนำกลับคืนไปเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ระยะทางประมาณ 4,000 กิโลเมตร และจำเลยที่ 3 เสียค่าจ้างในการซ่อมแซมรถยนต์พิพาทให้กลับคืนสภาพดีดังเดิม ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดให้โจทก์ต้องชำระค่าใช้ทรัพย์เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท และค่าเสียหายอันเกิดจากจำเลยที่ 3 ซ่อมแซมรถยนต์พิพาทเป็นเงิน 18,000 บาท นั้น ศาลฎีกา เห็นพ้องด้วยว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 มิได้ผิดสัญญาในเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเรื่องของแถมและมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาทไว้เพื่อให้โจทก์ชำระเงินดาวน์จำนวน 290,000 บาท ตามสัญญาซื้อขายเสียก่อนนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์เข้าจองซื้อรถยนต์พิพาทตามข้อเสนอชวนเชิญให้จองซื้อรถยนต์เอกสารหมาย จ.7 โดยทำสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.3 แล้ว ก็เป็นที่เข้าใจตามแผ่นปลิวโฆษณาว่าจำเลยที่ 3 ต้องส่งมอบโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และจัดทำประกันภัยรถยนต์ชั้นหนึ่งให้แก่โจทก์ทันทีที่ตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท หาใช่เป็นเรื่องที่ต้องกำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายกันอีกดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกาไม่ เพราะเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 ต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทันทีที่โจทก์จองซื้อรถยนต์พิพาท และกรณีที่จำเลยที่ 3 นำรถยนต์คืนมาจากโจทก์เพื่อตรวจเช็คสภาพตามเวลาและระยะทางแต่ไม่ส่งมอบคืนให้โจทก์โดยอ้างว่ามีสิทธิยึดหน่วงเพื่อให้โจทก์ชำระเงินดาวน์ส่วนที่เหลือนั้น เห็นว่า หนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยที่ 3 เกี่ยวด้วยรถยนต์พิพาทซึ่งครองอันจะก่อสิทธิแก่จำเลยที่ 3ที่จะยึดหน่วงรถยนต์พิพาทไว้ต้องเป็นหนี้ที่เกิดจากการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ที่โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 3 เท่านั้น การชำระเงินดาวน์ของโจทก์ต่อจำเลยที่ 3หาใช่หนี้ที่จะก่อให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาทไว้ดังที่จำเลยที่ 3ฎีกาไม่ เพราะการที่จำเลยที่ 3 ทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาทตามสัญญาหากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดสัญญาซึ่งจำเลยที่ 3 มีสิทธิริบเงินมัดจำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ หามีสิทธินำรถยนต์พิพาทกลับมาไว้ในครอบครองเพื่อบังคับให้โจทก์ชำระหนี้โดยที่ไม่มีข้อสัญญากำหนดให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิกระทำเช่นนั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share