คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 628/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระเงินกู้ให้โจทก์แล้วและฟ้องแย้งเรียกเงินที่ชำระเกินคืนจากโจทก์ด้วย เช่นนี้เมื่อหนังสือสัญญากู้ยังอยู่ที่โจทก์โดยยังมิได้แทงเพิกถอนในเอกสารว่าได้มีการชำระหนี้หรือมีเอกสารที่มีลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้กู้มาแสดงย่อมจะฟังว่าจำเลยได้ชำระเงินกู้แก่โจทก์แล้วหาได้ไม่
(อ้างฎีกาที่ 513/2501)

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ไปเป็นจำนวน 15,000 บาท ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน นับแต่วันกู้จนถึงวันฟ้องจำเลยผ่อนดอกเบี้ยให้โจทก์รวม 19 เดือนส่วนต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวม 22,812.50 บาท จำเลยยังมิได้ชำระ โจทก์ทวงถาม จำเลยผิดนัด ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินรวมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้องด้วย

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การกับฟ้องแย้งว่า กู้เงินโจทก์ไปจริงแต่ชำระให้โจทก์ไปแล้วหลายครั้ง เมื่อรวมแล้วโจทก์รับเงินของจำเลยซึ่งเกินต้นเงินและดอกเบี้ยที่กู้ไป 4,725 บาท ดังปรากฏในเอกสารการรับเงินของโจทก์ท้ายคำให้การ ขอให้ศาลยกฟ้องและฟ้องแย้งเรียกเงินคืน 4,725 บาทจากโจทก์

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เอกสารที่จำเลยเสนอมาท้ายคำให้การเป็นการคิดดอกเบี้ยและรับเงินที่เกี่ยวพันหนี้สินรายอื่น ไม่เกี่ยวกับหนี้สินที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องแย้งเคลือบคลุม ขาดอายุความ และไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง

ก่อนชี้สองสถาน จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ศาลสั่งให้จำเลยที่ 1 เป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินกู้ให้โจทก์ 15,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี และยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยให้การรับแล้วว่าได้กู้เงินโจทก์และทำหนังสือสัญญากู้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่าได้ใช้เงินให้แก่โจทก์แล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 2 บัญญัติว่า “ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว” คดีนี้ ได้ความว่าสัญญากู้อันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมซึ่งจำเลยทำให้โจทก์ยึดถือไว้นั้น ยังคงอยู่ที่โจทก์โดยมิได้แทงเพิกถอนในเอกสารนั้นว่าได้มีการชำระหนี้แล้ว ทั้งไม่มีเอกสารใดที่มีลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้กู้พอที่จะเป็นหลักฐานแสดงการรับเงินของโจทก์ เอกสารหมาย ล.1, ล.2 นั้น ไม่มีลายมือชื่อโจทก์อยู่เลย ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธว่ามิใช่เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับหนี้รายที่ฟ้อง จึงไม่พอที่จะฟังเป็นหลักฐานการใช้เงินรายที่ฟ้อง จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 513/2501 ระหว่างนายเนียม โจทก์นายชื่น จำเลย ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์นั้นชอบแล้วพิพากษายืน

Share