คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7265/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่าจำเลยตกลงเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์มีการทำสัญญาเช่าและต่อสัญญาเช่าหลายครั้งต่อมาเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าและให้ส่งคืนตึกแถวที่เช่ากับมีคำขอให้จำเลยออกไปจากตึกแถวที่เช่าและใช้ค่าเสียหายคำฟ้องโจทก์จึงได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จะให้จำเลยเข้าใจและสามารถต่อสู้คดีได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้ทรงสิทธิใดในตึกแถวที่ให้เช่าและสิทธิดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ประการใด เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ทั้งผู้ให้เช่าก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่า ประกอบกับจำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีในลักษณะเข้าใจข้อหาได้ดีและยอมรับว่าได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวตามฟ้องจากโจทก์ คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีแพ่งคดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โดยคดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทและเรียกค่าเสียหายเช่นเดียวกับคดีแพ่งคดีก่อน แต่อาศัยสัญญาเช่าตามบันทึกการต่ออายุสัญญาเช่าของปี 2533 มูลฟ้องของโจทก์คดีนี้ แม้จะอาศัยสัญญาเช่าต่างฉบับกับสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องในคดีก่อน แต่สัญญาเช่าที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องคดีนี้ได้มีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีก่อน หาใช่เกิดขึ้นหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีดังกล่าวไม่โจทก์สามารถอ้างเหตุที่เป็นมูลฟ้องในคดีนี้เป็นมูลฟ้องในคดีก่อนแต่โจทก์ก็มิได้กระทำ เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเช่นเดียวกัน คำฟ้องที่โจทก์ยื่นฟ้องขึ้นมาใหม่ในคดีนี้จึงเป็นเรื่องเดียวกับคดีแพ่งคดีก่อนซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาส่วนการถอนคำฟ้องที่มีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องและทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 นั้น หมายถึงการถอนคำฟ้องนั้นได้ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลใดศาลหนึ่ง เมื่อคดีแพ่งคดีก่อนซึ่งโจทก์ขอถอนฟ้องแล้วแต่จำเลยยังอุทธรณ์และฎีกาต่อมา คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ดังนี้ ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องจำเลยก็ไม่มีฟ้องของโจทก์และตัวโจทก์ที่จำเลยจะฟ้องแย้งจำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถวเลขที่ 132 ถนนวานิช 1 แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร และส่งมอบตึกแถวดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 293,330 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าเสียหายอีกเดือนละ 20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกจากตึกแถวของโจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์คืนเงินกินเปล่า 800,000 บาทแก่จำเลย ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย 24,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวเลขที่ 132 ถนนวานิช 1 แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพมหานคร และส่งมอบตึกแถวดังกล่าวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2537 จนกว่าจำเลยพร้อมบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไป และส่งมอบตึกแถวดังกล่าวแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้ง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้ครอบครองหรือเป็นผู้ทรงสิทธิประการใดในตึกแถวที่โจทก์ฟ้อง และมิได้แสดงเอกสารหรือหลักฐานใดให้เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิดังกล่าวตลอดจนขณะที่ฟ้องโจทก์มีสิทธิเหนือตึกแถวที่ฟ้องในลักษณะใดและสิทธิของโจทก์ดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ประการใด อันจะแสดงให้เห็นว่า โจทก์มีสิทธิหรืออำนาจที่จะฟ้องคดีนี้ได้ จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่าจำเลยตกลงเช่าตึกแถว 2 ชั้น เลขที่ 132 ถนนวานิช 1 แขวงจักรวรรดิเขตสัมพันธวงศ์ จากโจทก์ มีการทำสัญญาเช่าและต่อสัญญาเช่าหลายครั้ง ต่อมาเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไปจึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าและให้ส่งคืนตึกแถวที่เช่า กับมีคำขอให้จำเลยออกไปจากตึกแถวที่เช่าและใช้ค่าเสียหาย คำฟ้องโจทก์จึงได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จะให้จำเลยเข้าใจและสามารถต่อสู้คดีได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่า โจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้ทรงสิทธิใดในตึกแถวที่ให้เช่าและสิทธิดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ประการใด เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ทั้งผู้ให้เช่าก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่าประกอบกับจำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีในลักษณะเข้าใจข้อหาได้ดีและยอมรับว่าได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวตามฟ้องจากโจทก์ คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยในข้อต่อไปว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้นที่โจทก์ขอถอนฟ้องและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องแต่จำเลยยังอุทธรณ์และฎีกาต่อมา คดีจึงอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา คดีดังกล่าวเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวตามฟ้องของโจทก์และเรียกค่าเสียหายภายหลังครบกำหนดสัญญาเช่าตามบันทึกการต่ออายุเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2530 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2530 ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยแล้วตามหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้ส่งมอบอาคารลงวันที่ 30ตุลาคม 2535 เอกสารหมาย ล.20 ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องในขณะที่คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้น อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวตามฟ้องของโจทก์ และเรียกค่าเสียหายเช่นเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้น แต่อาศัยสัญญาเช่าตามบันทึกการต่ออายุสัญญาเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2533 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2533ตามหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าแจ้งให้ชำระค่าเช่าและค่าเสียหายลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2536 เอกสารหมาย จ.16 มูลฟ้องของโจทก์คดีนี้ แม้จะอาศัยสัญญาเช่าต่างฉบับกับสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้น แต่สัญญาเช่าที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องคดีนี้ได้มีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้น หาใช่เกิดขึ้นหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีดังกล่าวไม่ โจทก์สามารถอ้างเหตุที่เป็นมูลฟ้องในคดีนี้เป็นมูลฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้นแต่โจทก์ก็มิได้กระทำ เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเช่นเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้นคำฟ้องที่โจทก์ยื่นฟ้องขึ้นมาใหม่ ในคดีนี้จึงเป็นเรื่องเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้น ซึ่งขณะโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ส่วนการถอนคำฟ้องที่มีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องและทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 นั้น หมายถึงการถอนคำฟ้องนั้นได้ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลใดศาลหนึ่ง ดังนี้ ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2629/2536 ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ก็ไม่มีฟ้องของโจทก์และตัวโจทก์ที่จำเลยจะฟ้องแย้ง จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้งไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นตามฎีกาจำเลยต่อไป”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย

Share