คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1781/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้มีชื่อเช่าที่ดินปลูกโกดังและโอนกันต่อๆ มา เจ้าของโกดังคนสุดท้ายถูกฟ้องล้มละลาย ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วจึงเป็นผลให้สัญญาเช่านั้นต้องระงับไป โกดังจึงตกเป็นกรรมสิทธิแก่จำเลยทันทีตามข้อตกลงในสัญญาเช่า เพราะโกดังเป็นส่วนควบของที่ดิน ไม่ต้องไปทำการโอนจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงมีฐานะเป็นเจ้าของคนใหม่
มาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 เป็นบทบัญญัติที่รัฐจะติดตามเอาค่าภาษีให้ได้ไม่ว่ากรรมสิทธิแห่งทรัพย์สินนั้นจะได้โอนไปเป็นของเจ้าของใหม่โดยเหตุใดๆ ก็ตาม บรรดาเจ้าของคนเก่าและคนใหม่ต้องเป็นลูกหนี้ค่าภาษีร่วมกัน
การที่เจ้าหนี้บุริมสิทธิไม่ไปขอรับชำระหนี้ของผู้ล้มละลายจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จะถือว่าเป็นการปลดหนี้ไม่ได้เพราะเจ้าหนี้มิได้แสดงเจตนาต่อลูกหนี้ว่าจะปลดหนี้ให้ หนี้จึงยังไม่ระงับ
ค่าภาษีที่มิได้ชำระภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดเป็นเงินภาษีค้างชำระซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เพิ่มจำนวนขึ้น เงินค่าภาษีที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นค่าภาษีที่ค้างชำระซึ่งเจ้าของโรงเรือนและที่ดินคนใหม่ต้องรับผิด
เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าภาษีที่ค้างรวมทั้งเงินเพิ่มภาษี โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากหนี้เงินในระหว่างเวลาผิดนัดได้ ไม่เป็นการเรียกดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย
การที่โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไว้น้อยกว่าจำนวนที่แท้จริง ไม่ทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามจำนวนที่แท้จริง
การชำระค่าภาษีเป็นภาระของผู้รับประเมินจะพึงนำไปชำระจะถือว่าเทศบาลประมาทเลินเล่อไม่เรียกเก็บมิได้ จำเลยมีหน้าที่ต้องนำภาษีไปชำระโจทก์ แต่กลับเพิกเฉยเสีย จนโจทก์ต้องฟ้อง จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเมื่อแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนโกดังจากนายแหยม แซ่เหยี่ยง ชำระค่าภาษีโรงเรือนและค่าภาษีที่เพิ่มขึ้นและค้างชำระพร้อมทั้งดอกเบี้ย

จำเลยสู้ว่าไม่ได้เป็นผู้รับโอนโกดังตามความหมายของพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน โจทก์ละเลยหรือประมาทเลินเล่อไม่เรียกเก็บภาษี จนนายแหยม แซ่เหยี่ยง ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดการชำระหนี้ของนายแหยมกลายเป็นพ้นวิสัย และหลุดพ้นจากการชำระหนี้จำเลยจึงไม่อาจเป็นลูกหนี้ร่วมกับนายแหยม ค่าภาษีที่ค้างเป็นหนี้ร่วมของบุคคลอื่น และกับนายแหยม จำเลยไม่ใช่ลูกหนี้ร่วมภาษีเรียกเก็บเกินอายุความ 10 ปี โจทก์หมดสิทธิเรียกร้อง โจทก์ปลดหนี้ให้นายแหยมแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดในหนี้บางปี โจทก์เรียกเงินเพิ่มภาษีจากจำเลยไม่ได้ เจ้าของคนใหม่ควรเป็นลูกหนี้ค่าภาษีเฉพาะในปีที่กระทำการโอนเท่านั้น จำเลยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยสำหรับหนี้ภาษีเงินเพิ่ม

จำเลยขอให้เรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้การว่าหนี้ค่าภาษีตามฟ้องโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้ว หากจำเลยแพ้คดีและชดใช้ค่าภาษีแก่โจทก์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยอมให้จำเลยเข้ารับช่วงสิทธิคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ได้ไม่เกินจำนวนที่โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้

โจทก์จำเลยแถลงรับกันหลายประการและไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าภาษีที่ยังค้างและภาษีที่เพิ่ม รวมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อเจ้าของโกดังคนสุดท้ายคือนายแหยม แซ่เหยี่ยง ผู้เช่าที่ดินของจำเลยถูกฟ้องล้มละลาย ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและจำเลยได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว สัญญาเช่าจึงระงับไป โกดังจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยผลแห่งสัญญา ไม่จำต้องไปจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะโกดังเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 107 จำเลยจึงเป็นเจ้าของคนใหม่ และต้องรับผิดในค่าภาษีที่ค้างชำระ และตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือน พ.ศ. 2475 มาตรา 45บรรดาเจ้าของคนเก่าและคนใหม่ต้องเป็นลูกหนี้ค่าภาษีร่วมกันโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าภาษีที่ค้างชำระอยู่ทั้งหมดจากจำเลยได้

การที่โจทก์ไม่ได้ขอรับชำระหนี้ค่าภาษีบางปีจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในฐานะเป็นเจ้าบุริมสิทธิ์ ไม่ถือว่าเป็นการปลดหนี้ให้นายแหยม เพราะโจทก์มิได้แสดงเจตนาต่อลูกหนี้ว่าจะปลดหนี้ให้ หนี้จึงยังไม่ระงับ จำเลยยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในคดีนี้

ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือน พ.ศ. 2475 มาตรา 42 ค่าภาษีที่มิได้ชำระภายในเวลากำหนด ถือเป็นเงินภาษีค้างชำระซึ่งต้องเสียภาษีเพิ่มร้อยละ 10 ตามมาตรา 43 จำเลยจึงต้องถูกเรียกเก็บด้วย

จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีที่ค้าง รวมทั้งภาษีเพิ่มเมื่อไม่ชำระ จำเลยก็เป็นผู้ผิดนัด โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากหนี้เงินในระหว่างผิดนัดได้ ไม่เป็นการเรียกดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย

ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยรับผิดค่าภาษีเพียงปี 2501-2503 เท่าที่นายแหยมค้างชำระนั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์แสดงรายละเอียดถึงค่าภาษีที่จะให้จำเลยชำระทั้งหมด ไม่ใช่เพียงเท่าที่นายแหยมค้างชำระ

การที่โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์น้อยกว่าจำนวนจริง ไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามจำนวนที่แท้จริงซึ่งจำเลยรับรองความถูกต้องไว้แล้วตามรายงานกระบวนพิจารณา

ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ควรรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม เพราะโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่เรียกเก็บภาษีภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนด เห็นว่า การชำระค่าภาษีกฎหมายบัญญัติให้เป็นภาระของผู้รับประเมินจะต้องนำไปชำระแก่กรมการอำเภอท้องที่ตามมาตรา 38ก่อนฟ้อง โจทก์ก็ได้เตือนให้จำเลยชำระแล้ว จำเลยก็เพิกเฉยเสียเมื่อจำเลยแพ้คดีโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share