แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1,2 ออกโฉนดทับที่ซึ่งโจทก์ครอบครองอยู่ก่อน การออกโฉนดทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1,2 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 3,4 รับจำนองที่พิพาทโดยไม่สุจริต ต่อมาจำเลยที่ 3,4 ฟ้องบังคับจำนองและซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล ย่อมเป็นการซื้อโดยไม่สุจริต ต่อมาจำเลยที่ 3 โอนทะเบียนยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 5,6 โดยเสน่หา โจทก์ย่อมขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมได้
การที่จำเลยขอให้ออกและรับโฉนดที่พิพาทโดยโจทก์ไม่รู้และการที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์จากที่พิพาท ไม่ใช่การแย่งการครอบครองที่พิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเป็นเจ้าของและครอบครองที่พิพาท จำเลยที่ 1, 2แสดงความเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจึงออกโฉนดสำหรับที่พิพาทให้จำเลยที่ 1, 2 ต่อมาจำเลยที่ 3, 4 รับจำนองที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต แล้วฟ้องบังคับจำนองและจำเลยที่ 3 ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลแล้วยกให้จำเลยที่ 5, 6ซึ่งเป็นบุตร ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การออกโฉนดทับที่ดินของโจทก์ทั้งขอให้ทำลายนิติกรรมทั้งหมดเสียด้วย
จำเลยทั้งหมดต่อสู้ว่า การออกโฉนดสมบูรณ์ และนิติกรรมต่าง ๆก็สมบูรณ์ จำเลยสุจริต โจทก์รู้เรื่องออกโฉนดมานานแล้ว คดีขาดอายุความ 1 ปี
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทมาก่อน จำเลยที่ 1, 2ออกโฉนดทับที่พิพาท และจำเลยทำนิติกรรมต่าง ๆ โดยไม่สุจริต พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1, 3 ถึง 6 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น แล้ววินิจฉัยว่าการออกโฉนดไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1, 2 ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จำเลยที่ 3, 4 รับจำนองโดยไม่สุจริต และได้ฟ้องบังคับจำนองและซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล จึงเป็นการซื้อโดยไม่สุจริต ต่อมาจำเลยที่ 3 ยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 5, 6โดยเสน่หา จำเลยที่ 5, 6 ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมให้ได้
การที่จำเลยขอออกและรับโฉนดที่พิพาทโดยโจทก์ไม่รู้และการที่จำเลยที่ 5, 6 ฟ้องขับไล่โจทก์จากที่พิพาท ถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ 1 ปี